ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นประเพณีหนึ่งของภาคอีสานของไทยรวมไปถึงลาว โดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ่ ซึ่งในนิทางพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึง การที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการบูชา พระยาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่ง ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พระยาแถนมีหน้าทีคอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้
บุญบั้งไฟยโสธร จึงเลื่อนฐานะขึ้นเป็นประเพณีสำคัญของประเทศ เป็นตัวแทนจากภาคอีสานที่เชิดหน้าชูตาในด้านวัฒนธรรมประเพณีของชาติ
ในวันนี้ชาวบ้านจากคุ้มต่าง ๆ จะนำบั้งไฟขึ้นขบวนรถที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงามเป็นลวดลายไทยงามวิจิตร นำแห่แหนด้วยขบวนรำประกอบดนตรีพื้นเมือง บนขบวนรถบางทีจะเป็นธิดาบั้งไฟโก้ เทพบุตรเทพธดาตัวน้อย ๆ หรือแม้กระทั่งเรื่องราวจำลองจากนิยายพื้นบ้านปรัมปรา เช่นเรื่องท้าวผาแดง นางไอ่ เป็นต้น นอกจากนี้ที่จะขาดไม่ได้ก็คือขบวนรีวิวประเภทเนื้อหาสาระและตลกขบขันต่าง ๆ ที่เปิดโอกาสให้ชาวเมืองที่ต่างอายุกันได้มีโอกาสเข้าร่วมงานอย่างเสมอหน้าและ มาประกวดประชันกันอย่งสนุกสนาน
ส่วนวันที่สองเริ่มแต่เช้าที่สวนพญาแถนเป็นการประกวดการจุดบั้งไฟ มีการประกวดบั้งไฟขึ้นสูงแบะยั้งไฟแฟนซีต่าง ๆ ในขณะที่ชาวบ้านชาวคุ้มต่าง ๆ ก็จะยกขบวนออกร้องรำทำเพลงกันตลอดทั้งวันอย่างสนุกสนาน
จุดเด่นของพิธีกรรม
จุดเด่นของการชมประเพณีบุญบั้งไฟ อยู่ที่ช่วงเช้าของวันแรกคือวันแห่บั้งไฟสวยงาม สามารถชมได้ที่ปะรำพอธีถนนใจกลางเมือง และช่วงเช้าวันที่สอง คือการจุดบั้งไฟขึ้นสูงที่สวนสาธารณะพญาแถน
ตำนานเรื่องเล่า
ตำนานของประเพณีบุญบั้งไฟ ผูกพันกับนิทานพื้นบ้านสองเรื่องคือเรื่องท้าวผาแดงนางไอ่ และเรื่องสงครามระหว่างพญาคันคากกับพญาแถน ซึ่งเป็นเรื่องที่กล่าวถึงที่มาของการยิงบั้งไฟเลยทีเดียว
ตำนานเรื่องนี้เริ่มจากพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นพญาคันคาก (คางคก) อาศัยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ครั้งนั้น พญาแถน เทพผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ผู้ดลบันดาลให้ฝนตก เกิดไม่พอใจชาวโลกจึงบันดาลให้ฝนไม่ตก เกิดไม่พอใจชาวโลกจึงบันดาลให้ฝนไม่ตกเลยตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ชาวเมืองทนไม่ไหวจึงคิดทำสงครามกับพญาแถน แต่สู้พญาแถนกับกองทัพเทวดาไม่ได้ ถูกไล่ล่าหนีมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่พญาคันคากอาศัยอยู่
ในที่สุดพญาคันคากตกลงใจเป็นจอมทัพของชาวโลกต่อสู้กับพญาแถน
พญาคันคากให้พญาปลวกก่อจอมปลวกขึ้นไปจนถึงสวรรค์ ให้พญามอดไม้ไปทำลายด้ามอาวุธของทหารและอาวุธพญาแถน และให้พญาผึ้ง ต่อ แตนไปต่อยทหารและพญาแถนฝ่ายเทวดาพ่ายแพ้ พญาแถนจึงให้คำมั่นยีร หากมนุษย์ยิงบั้งไฟขึ้นไปเตือนเมื่อไรจะรีบบันดาลให้ฝนตกลงมาให้ทันทีและถ้ากบเขียดร้องก็ถือเป็นสัญญาณว่าฝนได้ตกลงถึงพื้นแล้ว
และเมื่อใดที่ชาวเมืองเล่นว่าวก็เป็นสัญญานแห่งการหมดสิ้นฤดูฝน พญาแถนก็บันดาลให้ฝนหยุดตก
******************************************************
งานบุญบั้งไฟเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน ซึ่งเกี่ยวกับดำรงชีวิตและอาชีพของชาวอีสาน โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีอาชีพทำนา พอเข้าเดือน 6 จะเข้าสู่ฤดูทำนา ก็จะเริ่มเข้าสู่น่าฝน แล้วก็จะมีการบูชาเทพยดาตามเชื่อ การจุดบั้งไฟนั้นก็เป็นการบูชาแถนซึ่งเป็นเทวดาบนสรวงสรรค์ ได้ตกตามฤดูกาล เพื่อที่จะทำให้ชาวนานั้นปลูกข้าวได้ผลิตที่ดี สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันนั้นคือ ชาวอีสานเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการทำดินปืนมาแต่โบราณ จนกระทั่งสามารถนำดินปืนมาบรรจุในกระบอกไม้ไผ่ลำยาวๆล่ามสายชนวนออกมาจุดให้บั้งไฟพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งนับเป็นต้นแบบของจรวด ที่ได้รับการพัฒนาจากโลกซีกตะวันตก กลายเป็นอาวุธสงครามที่ร้ายแรง ตลอดจนการส่งมนุษย์ไปสู่อวกาศ จนกระทั่งสามารถไปถึงดวงจันทร์ได้
บั้งไฟที่ชาวอีสานทำกันนี้มีอยู่ 4 ขนาด ขนาดเล็กสุดใช้ดินปืนประมาณ 12 กิโลกรัม เรียกว่า บั้งไฟพัน ใหญ่ขึ้นมาก็คือ บั้งไฟหมื่น ใช้ดินปืนประมาณ 15 – 24 กิโลกรัม และขนาดใหญ่เรียกว่า บั้งไฟแสน ใช้ดินปืนถึง 120 กิโลกรัม และขนาดใหญ่ที่สุดได้ทำการสร้างมาไม่นานนี้เอง เรียกว่าบั้งไฟล้านซึ่งมีนาดใหญ่ที่สุด แต่ไม่ค่อยจะสร้างกันมากนักเพราะทำยากและมีอันตรายมาก ส่วนใหญ่ใช้บั้งไฟหมื่นกันมาก งานบุญบั้งไฟเดือน 6 ของชาวอีสานนี้ เป็นงานประเพณีอันสนุกสนาน มีการเซิ้งนำขบวนแห่บั้งไฟ ประกวดบั้งไฟ ทั้งรูปร่างลักษณะและการตกแต่ง ตลอดจนการจุดว่าบั้งไฟของคุ้มศรัทธาหรือวัดไหนขึ้นสูงสุด งานบุญบั้งไฟในอีสาน ที่จัดกันอย่างใหญ่โตที่สุดก็คือที่จังหวัดยโสธร และหนองคาย
สำหรับประวัติความเป็นมาจะมีแต่ครั้งไหนยังหาหลักฐานแน่ชัดไม่ได้ เพียงแต่หลักฐานเทียบเคียงเท่านั้นขอให้สันนิษฐานไว้ว่า จะมีต้นเหตุเป็นมาในแง่ต่างๆ ดังนี้
1. ด้านศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์มีการบูชาเทพเจ้าด้วยไฟคือพระอัคนี ซึ่งเขาถือว่าไฟเป็นทั้งเครื่องบูชาเทพเจ้าอื่นๆ และเป็นตัวพระอัคนีเอง ผู้นำเครื่องสังเวยบูชาพระเจ้าเทพเจ้าเบื้องสวรรค์ การจุดบั้งไฟอาจจะเป็นการละเล่นอย่างหนึ่ง พร้อมกับการละเล่นอย่างหนึ่ง พร้อมกับการบูชาพระเจ้า
2. ด้านพุทธศาสนา ประเพณีพุทธมีการฉลอง และทำบูชาในวันวิสาขบูชา คือกลางเดือน 6 ในการบูชาอาจจะมีการทำไฟในแบบต่างๆ ทั้งไฟน้ำมัน ไฟธูปเทียน และดินประสิวด้วย ในงานบุญบั้งไฟปรากฏว่า มีการรักษาศีล การให้ทาน การบวชนาค และนิมนต์พระเทศน์อานิสงส์บั้งไฟด้วย
3. ความเชื่อพื้นบ้าน ชาวเมืองท้องถิ่นเชื่อว่า มีโลกมนุษย์ โลกเทวดา และโลกบาดาล มนุษย์อยู่ภายใต้อธิพลเทวดา ทางอีสานบางครั้งยังมีการถือเทวดาว่าเป็นบรรพบุรุษอยู่ด้วยช้ำ การรำผีฟ้าก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่งที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดา เทวดาเรียกว่า “แถน” เมื่อถือว่าแถน ก็คือว่า ฝน ฟ้า ลม แดด เป็นอิธิพลของแถนด้วย หากทำให้แถนโปรดปราน มนุษย์ก็จะมีความสุข ดังนั้น จึงมีพิธีบูชาแถน หรือ ถวยแถนต่อมาการจัดบั้งไฟ ก้อาจจะเป็นวิธีหนึ่ง ที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาความภักดีไปยังแถน หรือบูชาแถน มีชาวบ้านภาคอีสานส่วนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน และมีนิทานปรัมปรา เรื่องที่เกี่ยวข้องอยู่ทั่วไป
ผ.ศ.สิรัวัฒน์ คำวันสา.อีสานปริทัศน์.กรุงเทพฯ : กรุงสยามการพิมพ์,2523
งานบุญบั้งไฟเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน ซึ่งเกี่ยวกับดำรงชีวิตและอาชีพของชาวอีสาน โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีอาชีพทำนา พอเข้าเดือน 6 จะเข้าสู่ฤดูทำนา ก็จะเริ่มเข้าสู่น่าฝน แล้วก็จะมีการบูชาเทพยดาตามเชื่อ การจุดบั้งไฟนั้นก็เป็นการบูชาแถนซึ่งเป็นเทวดาบนสรวงสรรค์ ได้ตกตามฤดูกาล เพื่อที่จะทำให้ชาวนานั้นปลูกข้าวได้ผลิตที่ดี สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันนั้นคือ ชาวอีสานเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการทำดินปืนมาแต่โบราณ จนกระทั่งสามารถนำดินปืนมาบรรจุในกระบอกไม้ไผ่ลำยาวๆล่ามสายชนวนออกมาจุดให้บั้งไฟพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งนับเป็นต้นแบบของจรวด ที่ได้รับการพัฒนาจากโลกซีกตะวันตก กลายเป็นอาวุธสงครามที่ร้ายแรง ตลอดจนการส่งมนุษย์ไปสู่อวกาศ จนกระทั่งสามารถไปถึงดวงจันทร์ได้
บั้งไฟที่ชาวอีสานทำกันนี้มีอยู่ 4 ขนาด ขนาดเล็กสุดใช้ดินปืนประมาณ 12 กิโลกรัม เรียกว่า บั้งไฟพัน ใหญ่ขึ้นมาก็คือ บั้งไฟหมื่น ใช้ดินปืนประมาณ 15 – 24 กิโลกรัม และขนาดใหญ่เรียกว่า บั้งไฟแสน ใช้ดินปืนถึง 120 กิโลกรัม และขนาดใหญ่ที่สุดได้ทำการสร้างมาไม่นานนี้เอง เรียกว่าบั้งไฟล้านซึ่งมีนาดใหญ่ที่สุด แต่ไม่ค่อยจะสร้างกันมากนักเพราะทำยากและมีอันตรายมาก ส่วนใหญ่ใช้บั้งไฟหมื่นกันมาก งานบุญบั้งไฟเดือน 6 ของชาวอีสานนี้ เป็นงานประเพณีอันสนุกสนาน มีการเซิ้งนำขบวนแห่บั้งไฟ ประกวดบั้งไฟ ทั้งรูปร่างลักษณะและการตกแต่ง ตลอดจนการจุดว่าบั้งไฟของคุ้มศรัทธาหรือวัดไหนขึ้นสูงสุด งานบุญบั้งไฟในอีสาน ที่จัดกันอย่างใหญ่โตที่สุดก็คือที่จังหวัดยโสธร และหนองคาย
สำหรับประวัติความเป็นมาจะมีแต่ครั้งไหนยังหาหลักฐานแน่ชัดไม่ได้ เพียงแต่หลักฐานเทียบเคียงเท่านั้นขอให้สันนิษฐานไว้ว่า จะมีต้นเหตุเป็นมาในแง่ต่างๆ ดังนี้
1. ด้านศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์มีการบูชาเทพเจ้าด้วยไฟคือพระอัคนี ซึ่งเขาถือว่าไฟเป็นทั้งเครื่องบูชาเทพเจ้าอื่นๆ และเป็นตัวพระอัคนีเอง ผู้นำเครื่องสังเวยบูชาพระเจ้าเทพเจ้าเบื้องสวรรค์ การจุดบั้งไฟอาจจะเป็นการละเล่นอย่างหนึ่ง พร้อมกับการละเล่นอย่างหนึ่ง พร้อมกับการบูชาพระเจ้า
2. ด้านพุทธศาสนา ประเพณีพุทธมีการฉลอง และทำบูชาในวันวิสาขบูชา คือกลางเดือน 6 ในการบูชาอาจจะมีการทำไฟในแบบต่างๆ ทั้งไฟน้ำมัน ไฟธูปเทียน และดินประสิวด้วย ในงานบุญบั้งไฟปรากฏว่า มีการรักษาศีล การให้ทาน การบวชนาค และนิมนต์พระเทศน์อานิสงส์บั้งไฟด้วย
3. ความเชื่อพื้นบ้าน ชาวเมืองท้องถิ่นเชื่อว่า มีโลกมนุษย์ โลกเทวดา และโลกบาดาล มนุษย์อยู่ภายใต้อธิพลเทวดา ทางอีสานบางครั้งยังมีการถือเทวดาว่าเป็นบรรพบุรุษอยู่ด้วยช้ำ การรำผีฟ้าก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่งที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดา เทวดาเรียกว่า “แถน” เมื่อถือว่าแถน ก็คือว่า ฝน ฟ้า ลม แดด เป็นอิธิพลของแถนด้วย หากทำให้แถนโปรดปราน มนุษย์ก็จะมีความสุข ดังนั้น จึงมีพิธีบูชาแถน หรือ ถวยแถนต่อมาการจัดบั้งไฟ ก้อาจจะเป็นวิธีหนึ่ง ที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาความภักดีไปยังแถน หรือบูชาแถน มีชาวบ้านภาคอีสานส่วนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน และมีนิทานปรัมปรา เรื่องที่เกี่ยวข้องอยู่ทั่วไป
ผ.ศ.สิรัวัฒน์ คำวันสา.อีสานปริทัศน์.กรุงเทพฯ : กรุงสยามการพิมพ์,2523
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น