*** การเรียนรู้ตลอดชีวิตของพ่อใหญ่ครูเส โคตะขุน ***

*** การเรียนรู้ตลอดชีวิตของพ่อใหญ่ครูเส โคตะขุน ***

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระพุทธเจ้า ๑๐ ชาติ

          พระพุทธเจ้า ๑๐ ชาติ


Image

1. พระเตมีย์ใบ้


ในครั้งก่อนนานมาแล้ว พระเจ้ากาสิกราชครองสมบัติในเมืองพาราณสี แต่พระองค์มีราชโอรสและธิดาไม่ ด้วยกลัวว่าจะไม่มีผู้สืบสกุล จึงให้นางจันทเทวีและนางสนมทำพิธีขอพระโอรส พระอัครมเหสีก็ทรงทำตาม จึงได้ทรงครรภ์เมื่อครบกำหนดแล้วก็ทรงประสูติออกมาเป็นราชกุมาร พระเจ้ากาสิกราชทรงดีพระทัยเป็นอันมา
จัดให้การสมโภชและพระราชทานนางนมให้แก่พระราชกุมารและขนานนามว่า เตมีย์กุมารเพราะในวันประสูตินั้นฝนได้ตกทั่วทั้งพระนครและเป็นเหตุให้พระทัยของพระองค์และราษฏร์ได้รับความแช่มชื่น เรื่องความกลัวว่าราชวงค์จะสูญสียก็เป็นอันหมดไปพระเจ้ากาสิกราชทรงโปรดปรานพระราชกุมารมาก บางครั้งถึงกับอุ้มออกไปทรงว่าราชการด้วย....
วันหนึ่งขณะที่พระราชบิดาอุ้มออกไปทรงว่าราชการอยู่นั้น อำมาตย์ได้นำโจรมาให้ ทรงวินิฉัย 4 คนด้วยกัน พระราชาทรงสั่งให้ลงอาญาโจรเหล่านั้น..คนที่ 1 ให้เฆี่ยนด้วยหนามหวาย และอีกคนให้เอาหอกแทงทรมานให้เจ็บปวดแสนสาหัสคน 1 ให้เอาหลาวเสียบไว้ที้งเป็น..คน 1 ให้คุมขังไว้

พระราชกุมารได้ทรงเห็นเช่นนั้น ก็ระลึกความหลังครั้งไปอยู่นรก ก็คิดว่าพระราชบิดาของเราทำดังนี้น่ากลัวเหลือเกิน ตายไปตกนรกแน่นอน เราเองถ้าใหญ่ขึ้นมาก็ต้องครอบครองแผ่นดิน ก็ต้องทำอย่างพระราชบิดาแน่นอน ทำอย่างไรจึงจะพ้นไปจากการต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ เทพธิดาผู้เคยเป็นมารดาของพระราชกุมารในครั้งก่อนสิงอยู่ที่เศวตฉัตร..ได้แนะนำพระราชกุมารให้ปฏิปัติ 3 ประการคือ

1. จงเป็นคนง่อย
2. จงเป็นคนหูหนวก
3. จงเป็นใบ้ แล้วจะพ้นสิ่งเหล่านี้

นับตั้งแต่นั้นมา เตมีย์ก็เริ่มปฏิบัติไม่พูดไม่จาอะไรทั้งนั้นใครมาพูดก็ทำเป็นไม่ใด้ยิน เอาอุ้มไปวางไว้ที่ไหนก็นั้งอยู่อย่างนั้น ไม่ขยับเขยื้อนไปในที่ใด พระราชบิดาทรงสงสัยว่าแต่ก่อนพระราชกุมารก็เหมือนเด็กทั่วไปรื่นเริงโลดเต้น..
เจรจาเสียงแจ้วอยู่ตลอดเวลาทำไมกลับมาเงียบขรึมไม่พุดไม่จา ใครจะพูดอะไรก็ไม่ได้ยิน คงจะเกิดโรคภัยชนิดใดขึ้นแน่ จึงให้หมอตรวจ ก็มิได้พบว่าพระราชกุมารเป็นอะไร

คงเป็นปกติทุกอย่าง ก็ทรงให้ทดลองหลายอย่างหลายประการ เป็นตันว่าให้อยู่ในที่สกปรก พระเตมีย์อดทนอยู่ได้ แม้จะหิวก็ไม่ทรงกันแสงแม้จะกลัวก็ไม่แสดงอาการอย่างไร เพราะเห็นว่าภัยในนรกร้ายแรงกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน..จึงคงเฉย ๆ ทำเอาพระราชบิดาสิ้นปัญญา
พวกอำมาตย์รับอาสาว่าจะทดลองดูก่อน ก็ทรงอนุญาติให้..ครั้งแรกเมื่อให้พระเตมีย์นั่งอยู่ในเรือนแล้วแกล้งจุดไฟเพื่อจะให้พระเตมีย์กลัว..แต่หาได้ทำให้พระเตมีย์หวาดกลัวไม่คงเป็นปกติอยู่

ทดลองอย่างนี้ตั้งปี ก็ไม่พบความผิดปกติอย่างไร ต่อไปก็ทดลองด้วยช้างตกมัน โดยนำพระราชกุมารไปประทับนั่งที่พระลาน..ให้มีเด็กห้อมล้อมหมู่มาก..แล้วให้ปล่อยช้างที่ฝึกแล้วเชือกหนึ่ง วิ่งตรงเข้าไปจะเหยียบพระราชกุมาร เด็กที่ห้อมล้อมอยู่หวาดกลัวร้องไห้พากันวิ่งหนีกระจัดกระจายไป แต่พระเตมีย์ก็คงทำเป็นไม่รู้ชี้เช่นเดิม

ทดลองอย่างนี้สิ้นเวลาตั้งปีก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรขึ้นมา พระกุมารเคยเงียบไม่กระดุกกระดิกอย่างไรก็คงอย่างนั้นแม้ช้างจะจับพระกายขึ้นเพื่อจะฟาดก็ไม่ตกใจกลัวเพราะมุ่งหวังอย่างเดียวจะให้พ้นจากการเป็นพระเจ้าแผ่นดินให้ ต่อไปก็ทดลองด้วยงู ให้พระเตมีย์นั่งอยู่ แล้วให้ปล่อยงูมารัด ธรรมดาเด็กย่อมจะกลัวงู อย่าว่าแต่เด็กเลยผู้ใหญ่ก็เถอะ...แต่ก็ไม่ทำให้พระเตมีย์หวาดกลัวไปได้ คงนั่งเฉยทำเหมือนรูปปั้นเสีย เล่นเอาอำมาตย์เจ้าปัญญาสั่นหัว

ทดลองอย่างนี้อีกเป็นปีก็ไม่อาจจะจับพิรุธพระกุมารได้ ต่อไปให้ทดลองด้วยการให้พระเตมีย์นี่งอยู่ แล้วให้คนถือดาบวี่งมาจะทำอันตราย แต่พระกุมารทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หูไม่ได้ยิน ปากก็ไม่มีเสียง กายไม่กระดิกกระเดี้ย ทดลองอย่างนี้อีกเป็นปีก็จับอะไรพระกุมารไม่ได้.. ต่อไปก็ทดลองเสียง โดยให้พระเตมีย์นั่งอยู่พระองค์เดียว แล้วจู่ ๆ เสียงอึกทึกครึกโครมก็ดังขึ้นมาแต่พระเตมีย์คงทำไม่ได้ยินเช่นเคย การทดลองของอำมาตย์เป็นระยะทั้งสิ้น 7 ปี หลายปีที่ทำมาก็ไม่สามารถทำให้พระเตมีย์พูดออกมาได้ตั้งแต่ 9 ขวบ จนกระทั่ง 16 ขวบ พระเตมีย์ก็คงทำเช่นนั้น

เมื่อวัยแรกรุ่นย่อมจะชอบใจในกามารมณ์ จึงจัดให้ให้สาวน้อย ๆ มาเล้าโลมประการใด ๆ กอดรัดบ้าง ลูบโน่นบ้างลูบนี่บ้าง จนกระทั่งเปิดโน่นให้ดูบ้าง เปิดนี่ให้ดูบ้าง จะทำอย่างไรพระเตมีย์ก็คงทำเฉยไม่รู้ไม่ชี้ทองไม่รู้ร้อนตลอดกาล....

ใครจะพูดอย่างไร จะทำอย่างไรพระเตมีย์ไม่ได้ยินทั้งนั้น ไม่ยอมเคลื่อนไหวไม่ร้องไห้เหมือนเด็ก ๆ ไม่อ้าปากส่งเสียงอะไรออกมา ผลที่สุดทั้งพระราชบิดาและอำมาตย์ลงความเห็นว่าพระกุมารคงเป็นคนกาลกิณีเสียแล้ว..ขืนให้อยู่ต่อไปคงจะเกิดอันตรายขึ้นแก่พระองค์แก่สมบัติและแก่พระอัครมเหสี ควรจะออกไปทิ้งเสียที่ป่าช้าผีดิบนอกเมือง พระราชาก็เห็นด้วย จึงดำริจะให้เอาไปทิ้งเสีย แต่พระเทวีอัครมเหสีมาเฝ้ากราบทูลว่า
"ขอเดชะ..พระองค์ได้พระราชทานพรไว้แก่ข้าพระองค์บัดนี้หม่อมฉันจะทูลขอพรที่ได้ให้ไว้นั้น..."
"พระเทวีเธอขออะไรก็ตรัสไปถ้าไม่หลือวิสัยแล้วจะให้"
"ข้าพระองค์ขอราชสมบัติให้พระเตมีย์"
"อะไรกันพระเทวีก็เจ้าเตมีย์เป็นคนใบ้ แล้วก็หูหนวกเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้อย่างไร"
"ก็พระเตมีย์เป็นอย่างนั้น หม่อมฉันจึงขอพระราชสมบัติ"
"ไม่ได้พระเทวีเลือกอย่างอื่นเถิด"
"หม่อมฉันขอเลือกให้พระเตมีย์ครองแผ่นดินแม้ไม่มากเพียง 7 ปีก็พอ"
"ไม่ได้พระเทวีจะเป็นความเดือดร้อนแก่คนอื่นมากมายนัก ลูกเราไม่มีความสามารถถ้าดีอยู่อย่าว่าแต่ 7 ปีเลย ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะให้สมบัติตลอดไป"
"ขอสัก 1 ปีก็แล้วกัน"
"ไม่ได้พระเทวี"
"ถ้าอย่างนั้นขอ 7 วัน หม่อมฉันขอให้พระเตมีย์ได้เป็นสักหน่อยเถิด"
พระเจ้ากาสิกราชก็ยอมตกลง จึงได้ให้ตกแต่งร่างกายของพระเตมีย์ในเครื่องกษัตริย์ แล้วให้เสด็จเลียบพระนครประกาศให้ประชาชนพลเมืองทั่วไปทราบว่า บัดนี้พระเตมีย์ได้เป็นกษัตริย์แม้ใคร ๆ จะทำอย่างไรพระเตมีย์ยังคงเฉย ร่างกายไม่เคลื่อนไหวเป็นเหมือนหุ่น เขาวางไว้ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ไม่พูดไม่จาอะไรทั้งสิ้น ใครจะทำอะไรก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของพระกุมารทั้งสิ้น พอครบ 7 วัน

พระนางจันทเทวีก็ทรงพระกันแสงเพราะครบกำหนดที่สัญญาไว้กับพระราชาแล้ว พระราชาจึงมอบพระเตมีย์กุมารให้กับนายสุนันทสารถีเอาใส่รถไปฝังเสียที่ป่าช้าดิบภายนอกเมือง นายสุนันทก็เอาพระเตมีย์ใส่ท้ายรถขับออกจากตัวเมืองไปยังป่าช้าผีดิบ แต่หารู้ไม่ว่าทางที่จะไปนั้นม้นไม่ใช่ป่าช้าผีดิบแต่เป็นป่าอีกหนึ่งต่างหาก..
ความผิดพลาดของนายสารถี นับตั้งแต่เริ่มเทียมรถม้าแล้วคือ แทนที่จะเอารถสำหรับใส่ศพ กลับเอารถมงคลมาเทียมแทนและเมื่อรับพระเตมีย์แล้วก็คิดว่าจะขับไปป่าช้าผีดิบซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกจึงเป็นอันว่านายสารถีผิดพลาดตลอดมา.. แต่การผิดพลาดนี้เป็นผลดีของพระเตมีย์

เมื่อถึงป่านอกเมือง ซึ่งนายสุนันทคิดว่าเป็นป่าช้าผีดิบ เขาก็หยุดรถหยิบจอบเสียมลงไปเพื่อจะขุดหลุมฝังพระกุมารเสีย หูของเขายังแว่วพระดำรัสของพระราชาที่ว่า
"ลูกข้าคนนี้ เป็นกาลกิณีเองจงเอาไปป่าช้าแล้วขุดหลุมสี่เหลียมให้ลึก แล้วเอาจอบทุบหัวมันเสียก่อนแล้วค่อยฝังมันทีหลัง ช่วยมันหน่อยนะอย่าให้ฝังมันต้องถูกฝังทั้งเป็นเลย

ในขณะที่นายสารถีกำลังขุดหลุมอยู่ไมไกลจากรถนี้นเอง พระเตมีย์ก็คิดว่าร่างกายของเราไมได้เคลื่อนไหวมาตั้ง 16 ปี จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ก็ทรงกายลุกขึ้นลงมาจากรถทดลองเดินไปมาอยู่ข้างรถ
"ไม่เป็นอะไร มือเท้าไม่ได้เป็นง่อยเปลี้ยเสียแต่อย่างใด แต่กำลังเล่าจะเป็นไฉน"

คิดแล้วก็จับเอางอนรถยกขึ้น..เป็นความมหัศจรรย์...พระเตมีย์ยกรถขึ้นกวัดแกว่งได้เหมือนยกเอารถตุ๊กตาเบาแสนเบาแล้วกลับวางอย่างเดิม แลเห็นนายสารถีก้มหน้าก้มตาขุดหลุมอยู่โดยไม่ทราบว่าพระองค์ได้ทำอย่างไรบ้าง จึงเดินเข้าไปยืนอยู่ใกล้ก็ไม่รู้แต่ก็ตกใจเมื่อได้ยินเสียง
"สารถีท่านขุดหลุมสี่เหลียมทำไมกัน"

เขาเหลียวหน้ามามองแต่ก็จำไม่ได้ว่าเป็นพระกุมารที่ตนนำมาคิดเสียว่าเป็นคนเดินทางผ่านมาเห็นตนกำลังขุดหลุมอยู่ก็แวะเจ้ามาสอบถามดู
"ขุดหลุมฝังคน" เขาตอบสั้น
"ฝังใครกันล่ะ?"

"ฝังลูกพระเจ้าแผ่นดิน"
"ฝังทำไมกันล่ะ?"
"เรื่องมันยืดยาวท่านอยากจะรู้ไปทำไม"
"ก็อยากจะรู้บ้างว่าคน ๆ นั้นเป็นลูกพระเจ้าแผ่นดินจะมาถูกฝังเพราะโทษอะไร" นายสารถีก็ชี้แจงว่า
"ไม่มีโทษอะไรหรอก แต่พระราชกุมารเป็นคนกาลกิณีขืนปล่อยไว้นานไปความอุบาทว์ ทั้งหลายก็จะเกิดแก่ราชสมบัติ พระเตมีย์จึงแสร้งตรัสถามต่อไปว่า
"คนกาลกิณีน่ะเป็นอย่างไร"
"ก็เป็นคนไม่ดีน่ะสิ" นายสารถีเริ่มฉุน
"ไม่ดีอย่างไร"
"เอ..ท่านนี่ควรจะไปเป็นศาลตุลาการ..แทนที่จะเป็นคนเดินทางเพราะแก่ชักเสียจริง"

พระกุมารก็ไม่ขุ่นเคือง คงมีพระดำรัสเรียบ ๆ ถามต่อไป
"ข้าพเจ้าอยากรู้จริง ๆ ก็เลยรบกวนท่านหน่อย"
"เอ๊า...อย่างนั้นคอยฟัง..คือว่าพระโอรสของเจ้านายข้าพเจ้าคนนี้ เกิดมามีลักษณะสวยงามน่าเอ็นดูอยู่หรอก แต่เสียอย่างเดียวภายหลังมาเกิดไม่พูดไม่จาแขนขาไม่ยกไม่ก้าว เสียเฉย ๆ ยังงั้นเเหละใครจะพูดอะไร หูก็แถมหนวกเสียด้วยเลยเป็นอันว่าเหมือนตุ๊กตาตัวโต ๆ ที่เขาตั้งไว้"
"แล้วอะไรอีกล่ะ"
"ก็ไม่ยังไงหรอกพระเจ้าแผ่นดินรอมาถึง 16 ปี ก็ไม่เห็นดีขึ้น เลยตัดสินให้ข้าพเจ้าเอามาฝังเสียหลุมที่ขุดนี่แหละที่จะฝังพระราชกุมาร ท่านเข้าใจหรือยัง"
"ท่านรู้ไหมว่าเราเป็นใคร" จึงมองอย่างพินิจพิจารณา แต่เขาก็จำไม่ได้เพราะผู้ที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าบัดนี้ไม่ใช่พระกุมารผู้เป็นง่อยเปลี้ยเสียแข้งขาเสียแล้ว แม้ว่าหน้าตาจะคล้ายคลึงกับพระกุมารแต่เขาก็ไม่แน่ใจนักจึงทำอ้ำอึ้งอยู่

เมื่อเห็นสารถีมองดูด้วยความสงสัยจึงประกาศตนว่า
"สารถี..เราคือเตมีย์กุมารที่ท่านจะนำมาฝัง ท่านลองพิจารณาดูเถิดว่าเป็นคนกาลกิณีหรือเปล่า..ดูสิเราเป็นง่อยหรือเปล่า"
นายสารถีได้แต่มองอย่างสงสัย แล้วเอ่ยขึ้นรำพึงกับตัวว่า
"เอ พระกุมารก็ไม่น่าเป็นไปได้ จะว่าไม่ใช่ก็กระไรอยู่"

"เราคือเตมีย์กุมาร โอรสของพระเจ้ากาสิกราชที่ท่านอาศัยเลี้ยงชีพด้วยการเป็นราชบริพารอยู่บัดนี้ อย่าสงสัยเลยท่านขุดหลุมฝังเราน่ะเป็นเรื่องไม่เป็นธรรมเลย"
"ทำไมไม่เป็นธรรม?"
"ท่านมองดูสิว่าเราเป็นคนกาลกิณีหรือเปล่า ท่านได้รับคำสั่งให้ฝังคนกาลกิณีต่างหาก"
"จริงสินะ" สารถีคิดแต่เขาก็อ้ำอึ้งอยู่ไม่รู้จะกล่าวออกว่ากระไรอีก ที่เขาจะนำไปฝังนั้นเอง เขาจึงก้มกราบที่เท้าของพระเตมีย์
"โอ้..ข้าพระบาทเป็นคนโง่เขลา ทั้งนายของตนเองก็จำไม่ได้ เหมือนปาฏิหาริย์ บันดาลให้เกิดไม่น่าเชื่อ"
"ทำไมไม่เชื่อ"
"เพราะพระองค์ไม่เคลื่อนไหวร่างกายตั้งสิบกว่าปีอวัยวะควรจะใช้ไม่ได้ ควรจะเหี่ยวแห้งไป แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่นับว่าเป็นความประหลาดมากทีเดียว"
"เมื่อท่านเห็นเราเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านยังจะคิดฝังเราอีกหรือเปล่า"
"ไม่พะย่ะค่ะ ข้าพระบาทเลิกคิดจะทำร้ายพระองค์แล้ว ข้าพระพระองค์เข้าไปเฝ้าพระราชบิดามารดาเพื่อจะได้ครองราชสมบัติต่อไป"
"เราไม่คิดจะกลับไปสู่สถานเช่นนั้นอีก เพราะที่นั้นเป็นเหตุให้กระทำความชั่ว ซึ่งต่อไปจะทำให้บังเกิดในนรกอย่างไม่รู้จะผุดจะเกิดเมื่อไหร่ ?"

แต่นายสารถีก็ยังแสดงความดีใจ
"ถ้าข้าพระองค์นำพระองค์กลับเข้าไปได้ใคร ๆ ก็ต้องแสดงความยินดีกับพระองค์ และข้าพระองค์ก็จะได้เงินทองทรัพย์สมบัติผ้าผ่อนและแพรพรรณต่าง ๆ จากคนเหล่านี้ เป็นต้นว่า
พระราชบิดามารดาของพระองค์ก็ทรงยินดี ข้าพระองค์อาจจะได้ยศศักดิ์ บริวารและ อะไรต่าง ๆ ตามความปรารถนาเพราะ ใคร ๆ แสดงความสามารถที่จะให้พระองค์ไม่กลายเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขาเป็นคนหูหนวกเป็นใบ้มาตั้งสิบกว่าปีก็ไม่สำเร็จ แต่ข้าพระองค์กลับทำได้ เป็นความดีใจที่เหนือความดีใจทั้งหมดที่เคยมี ข้าพระองค์กำลังจะรับความสุข ไม่ต้องลำบากเช่นเดี๋ยวนี้"

"ท่านอย่าเพิ่งดีใจไปก่อนเราจะว่าให้ฟังเราเป็นคนไม่มีญาติขาดมิตร เป็นคนกำพร้า เป็นคนกาลกิณีจนเขาต้องให้ท่านเอาเราไปฝังเสียยังป่าช้าผีดิบ..ท่านนำเรากลับไปก็ไม่ดีท่านนั้นเเหละอาจจะกลายเป็นคนกาลกิณีไปก็ได้เพระใคร ๆ เขาก็เข้าใจอย่างนั้นแล้วท่านจะฝืนความนึกคิดคนอื่นได้อย่างไร เราสละแล้วด้วยประการทั้งปวง บ้านเรือนแว่นแคว้นเราไม่มี เราจะบำเพ็ญพรตรักษาศีลอยู่ในป่านี้โดยไม่กลับไปอีกแล้ว"

"พระองค์น่าจะตรัสกับพระราชบิดามารดาเสียก่อน"
"ไม่ล่ะ เราความเพียรเพื่อจะออกจากเมืองเป็นจำนวนถึง 10 กว่าปี ความตั้งใจของเราจะสำเร็จแล้ว เราจะไม่เข้าไปสู่สถานที่ทำกรรมอีกล่ะ ถ้าเราเป็นพระเจ้าแผ่นดินอาจจะอยู่ไปได้หลายสิบปี แต่เราจะต้องทำกรรมแล้วไปตกอยู่ในนรกตั้งหมื่นปี ท่านลองคิดดูว่าพระเจ้าแผ่นดินจะต้องสั่งให้เขาเฆี่ยนตี..ฆ่าคนนี้..ทำทรมานคนโน้น..ริบทรัพย์คนนั้น..ริบทรัพย์คนโน้น..วันละเท่าไร ปีละเท่าไร แล้วผลของการกระทำความชั่วนั้นจะไม่ย้อนกลับมาให้ผลเราบ้างหรือ

นายสารถีอดที่จะค้านไม่ได้
"พระเจ้าแผ่นดินจะทรงทำอย่างนั้น..ว่าโดยทางโลกยินยอมว่าเป็นความถูกต้อง เขาให้อำนาจที่จะกระทำ แต่ท่านต้องไม่ลืมนะว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ผิดจากทางโลก..แต่ทางธรรมไม่เคยยกเว้นให้ใคร ทางธรรมมีอยู่ว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ผลของการทำดีนำไปสู่สวรรค์ ผลของการทำชั่วนำไปสู่นรก"

นายสารถีจึงกราบทูลว่า
"ข้าพระองค์เป็นคนเขลา ยังคิดเป็นความสุขสบายแต่เมื่อพระองค์ดำรัสก็เห็นได้จริงคงอย่างนั้น ทุกคนต้องรักขีวิตร่างกายของตนทั้งนั้น เมื่อใดใครมาทำอันตรายก็เป็นธรรมดาต้องไม่ชอบ เมื่อพระองค์เห็นว่าโลกยุ่งมากนักจะบวช ข้าพระองค์ก็จะบวชเหมือนกัน" พระกุมารดำริว่า

"หากให้นายสารถีบวชเสีย ม้ารถก็เสียหาย และพระราชบิดามารดาคงได้รับความโทมนัสที่จะเอาฝังเสีย ถ้าให้ท่านกลับคืนไปเมืองก็จะทำให้พระองค์เสด็จมาดูเรา ได้รับความโสมนัส และบางทีพระราชบิดาจะกลับใจประพฤติชอบขึ้นมาบ้าง" จึงตรัสว่า
"เธอกลับไปส่งข่าวแก่พระราชบิดามารดาก่อนเถิดแล้วค่อยมาบวชทีหลัง เพราะบวชด้วยความเป็นหนี้ไม่ดีเลย"

นายสารถียินดีจะกลับไปทูลพระเจ้าแผ่นดิน แต่เกรงว่าเมื่อตนไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เมื่อเสด็จมาดูไม่พบพระกุมารก็เลยกลายเป็นว่าตนโกหก อาจจะถูกลงพระอาญาได้ จึงทูลขอพระกุมารไว้อย่าได้เสด็จไปที่อื่น ซึ่งพระกุมารก็รับคำนายสารถีถึงได้กลับไป
พระนางจันทรเทวี นับตั้งแต่นายสารถีเอาพระราชกุมารไปแล้วพระองค์ก็คอยเฝ้ามองอยู่ว่าเมื่อไรนายสารถีจะกลับมา จะได้ทราบเรื่องพระโอรสที่รักบ้าง
เมื่อเห็นนายสารถีกลับมาคนเดียวก็แน่พระทัยว่าพระราชโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์เสียแล้ว น้ำพระเนตรก็ไหลอาบพระปรางด้วยความโทมนัส ตรัสถามนายสารถีว่า
"พ่อสารถี ที่เอาโอรสของเราไปฝังนั้น พ่อได้รับคำสั่งเสียจากโอรสของเราอย่างไรบ้าง และโอรสของเราได้ทำอย่างไร"
"ขอเดชะพระแม่เจ้า ข้าพระบาทจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดกับพระราชกุมารให้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลาย"

แล้วเขาก็เล่าตั้งเเต่นำเอาพระโอรสอออกไปขุดหลุมจะฝังพระโอรสก็กลับกลายหายจากง่อยเปลี้ยเสียขา เจรจาได้ทรงพลกำลังยกรถที่ขี่ออกไปกวัดแกว่ง จนกระทั่งตนได้ทราบความจริงว่าทำไมพระกุมารจึงได้ทำอย่างนั้น แล้วเขาก็ลงท้ายว่า
"ขอเดชะ บัดนี้พระองค์ทรงผนวชอยู่ในราวเบื้องป่าบูรพาทิศเมืองนี้พระเจ้าข้า"

เท่านั้นเองพระนางก็ลิงโลดพระทัยตรัสออกมาว่า
"โอ..พ่อเตมีย์ของแม่ไม่ตายดอกหรือ เออ? ดีใจ ดีใจจริงๆ" สองพระกรก็ทาบพระอุระ ข่มความตื้นตันไว้ในพระทัย ถึงพระกาสิกราชก็ดีพระทัยเช่นกัน

การที่พระองค์ให้เอาพระเตมีตย์ไปฝังเสียนั้น ใช่ว่าพระองค์จะชิงชังหรือรังเกลียดก็หามิได้ แท้ที่จริงเพราะพระองค์กลัวอันตรายจะเกิดกับพระราชวงศ์ ตลอดจนพระมเหสีที่รักต่างหาก และนายสารถีก็ได้กราบทูลว่า
"พระราชกุมารทรงพระสรีระโฉมงามสง่าเหลือเกินมีสุรเสียงไพเราะตรัสออกมาน่าฟัง เหตุที่เป็นดังนั้นเพราะพระกุมารตรัสเล่าให้ฟังว่า

ทรงระลึกชาติได้ได้ว่าครั้งชาติก่อนพระองค์เคยเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ทำกรรมมีการจับกุมขังเฆี่ยนฆ่านักโทษมี ประการ ต่าง ๆ ครั้นพระองค์สวรรณคตแล้วได้ไปบังเกิดในนรกเป็นเวลานาน
เหมือนคนที่ถูกงูกัด มองเห็นสิ่งอะไรคล้ายกับงูก็ย่อมจะกลัวไปหมด ฉะนั้นข้าพระองค์เองยังอยากจะบวชอยู่ในป่านั้นด้วย แต่พระกุมารไม่ยอมให้ข้าพระองค์บวช บอกให้ข้าพระองค์กลับมาทูลเรื่องราวให้พระองค์ทั้งสองทราบเสียก่อน แล้วจึงค่อยไปบวชภายหลัง ข้าพระองค์จึงได้รีบกลับมากลาบทูลให้ทราบ หากพระองค์อยากจะเสด็จไปสถานที่นั้น ข้าพระองค์จักนำไปเอง”

พระเจ้ากาสิกราชมีพระดำรัสให้เตรียมพโยธาเพื่อจะเสด็จไปเฝ้าพระเตมีย์กุมาร ซึ่งบวชบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าด้านปราจีนทิศของเมือง แต่การเข้าไปนี้พระราชาเป็นผู้เสด็จเข้าไปก่อนเพื่อสอบถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน พระเทวีจึงเสด็จเข้าไป เมื่อเห็นพระโอรสเสด็จประทับนั่งอยู่ ด้วยความปลื้มปีติพระนางตรงเข้าไปกอดพระบาทของพระโอรส ทรงกันแสงสะอึกสะอึ่นแล้วถอยออกมา
“พ่อเตมีย์บริโภคแต่ใบไม้พลไม้ในป่า ทำไมจึงมีร่างกายสดใส"

พระราชาจึงถามพระเตมีย์ว่า เตมีย์กุมารจึงทูลตอบว่า
“ขอเดชะการที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุว่า สละความห่วงใยไม่ให้มาเกาะเกี่ยวจิตใจ อะไรที่ล่วงมาแล้วก็ไม่คิดเศร้าโศก ไม่คิดอยากได้สิ่งที่ยังมาไม่ถึง พยายามรักษาจิตใจในสิ่งที่เป็นปัจจุปันเท่านั้น จึงทำให้ผิวพรรณของหม่อมฉันไม่เศร้าหมอง”
“เมื่อพ่อไม่เป็นกาลกิณีแล้ว พ่อก็ควรจะกลับไปครองราชสมบัติเพื่อประโยชย์แก่ชนหมู่มากเถิด บัดนี้ก็เอาเบญจราชกกุธภัณฑ์มาด้วยแล้ว และเมื่อกลับไปถึงบ้านเมืองแล้วจะได้ ไปสู่ขอลูกกษัตริย์อื่นให้มาเป็นอัครมเหสี พระกูลวงศ์ของเราก็ไม่เสียไป”

เตมีย์กลับกล่าวตัดบทว่า
การบวชควรจะบวชเมื่อยังหนุ่มเพราะสังขารร่างกายของเราตกอยู่ในคติของธรรมดา เกิดแล้วก็เจ็บตายไปตามสภาพรู้ไม่ได้ว่าเราจะตายเมื่อใด

พระราชบิดาก็คงเห็น บางคนลูกตายก่อนพ่อแม่ น้องตายก่อนพี่ เหล่านี้แล้ว จะมัวประมาทอยู่ได้อย่างไร โลกถูกครอบงำอยู่ด้วยมฤตยู พระองค์ลองคิดดูช่างหูกเขาจะทอผ้าสักผืนหนึ่ง ทอไปทอไปข้างหน้า ก็น้อยเข้าฉันใด ชีวิตของคนเราก็เช่นนั้นพระองค์อย่ามัวประมาทอยู่เลย”

พระราชาได้สดับแล้วก็คิดจะบวชบ้าง แต่ก็คิดจะลองใจเตมีย์กุมารดูอีก ก็ตรัสชวนในราชสมบัติและยกเอากามคุณต่าง ๆ มาล่อ แต่พระเตมีย์ก็คงยืนยันเช่นนั้นพร้อมกับอธิบายถึงผลภัยของราชสมบัติมีประการต่าง ๆ ตนพระราชาตกลงพระทัยจะผนวช

จึงให้เอากลองไปตีป่าวประกาศว่าใครอยากบวชในพระราชสำนักพระเตมีย์ก็จงบวชเถิด และมิใช่แต่เท่านั้น ยังจารึกแผ่นทองคำไปติดไว้ที่เสาท้องพระโรงว่า ใครต้องการทรัพย์สมบัติใด ๆ ในคลังหลวงจงมาเอาไปเถิด

พร้อมกันนั้นก็ให้เปิดพระคลังทั้งสิบสองพระคลังเพื่อจะให้คนที่ปราถนาจะได้ขนเอา ประชาชนราษฎรพากันแตกตื่นไปบวชในพระราชสำนักพระเตมีย์ บ้านเรือนก็เปิดที้งไว้โดยไม่สนใจ ที่บริเวณสามโยชน์ เต็มไปด้วยดาบสและดาสินี บรรดารถและช้างม้าที่พระราชานำมาแต่เมืองก็ปล่อยให้ผุพัง ช้างม้าก็กลายเป็นม้าป่าช้างป่าเกลื่อนไปในป่านั้น

พระราชาที่อยู่ใกล้เคียงได้ทราบว่า กรุงพาราณสีไม่มีผู้คุ้มครองรักษา ก็ยกพหลโยธาหมายจะยึดครองเอาไว้ในอำนาจ
เมื่อมาถึงได้เห็นประกาศที่พระกาสิกราชติดไว้ ก็ทำ ให้เกิดสงสัยว่า ทำไมคนเหล่านี้จึงทิ้งสมบัติทั้งปวงเสีย ออกไปบวชอยู่ในป่าได้ บ้านเรือนราฎรก็ทิ้งไว้ ประตูเมืองก็หาคนปิดมิได้ แต่ทรัพย์สมบัติยังคงอยู่ทุกอย่าง เลยยกพหลโยธาตามออกในป่า พบพระราชาและพลเมืองบวชเป็นฤษีบำเพ็ญพรตอยู่ในป่านั้น

และเมื่อได้สดับธรรมะที่พระเตมีย์ให้โอวาทเข้าอีก เลยทำให้คิดจะหลีกเร้นออกหาความสุข พากันสละช้างม้าตลอดจนเครื่องอาวุธ บวชอยู่ในสำนักพระเตมีย์ ในบริเวณป่าดาษดา ไปด้วยรถที่ผุพังทรุดโทรม สัตว์ป่าวิ่งกันไปในป่าเกลื่อนไปหมดล้วนแต่เชื่อง ๆ รวมอยู่ใกล้ ๆ กับบรรดาฤษีเหล่านั้นก็บำเพ็ญฌานสมาบัติ ตายไปได้บังเกิดในเทวโลก
คติเรื่องนี้ที่ควรจะได้ คือการตั้งใจแน่วแน่
อยากจะได้สิ่งอันใดสมดังความตั้งใจอันนั้น
ก็พยายามจนสำเร็จและได้เห็นความ อดทน
อดกลั้นของพระเตมีย์ ซึ่งต้องทำ เป็นคนง่อย
คนใบ้ คนหูหนวกสารพัดเป็นเวลาตั้ง 10 กว่าปี
หากเราจะตั้งใจแล้วพยายามทำก็จะต้องสำเร็จจนได้
ในวันหนึ่ง เรื่องพระเตมีย์ก็จบลงด้วยความสำเร็จทุกประการฉะนี้




Image

2. พระมหาชนก


ในอดีตที่ล่วงมาแล้ว มีพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งนามว่า มหาชนก เสวยราชสมบัติในเมืองมิถิลา ท้าวเธอมีโอรสสองพระองค์ องค์หนึ่งนามว่า อริฎฐชนก อีกองค์หนึ่งมีนามว่าโปลชนก พระองค์ได้ทรงตั้งอริฎฐชนกในตำเเหน่ง อุปราช และโปลชนกในตำเเหน่ง เสนาบดี ต่อมาเมื่อท้าวเธอสวรรคตแล้ว อุปราชก็ได้ขึ้นครองแผ่นดินเสวยราชสมบัติแทน และได้แต่งตั้งเจ้าโปลชนกผู้เป็นน้องให้เป็นอุปราช ในขณะเมื่อเจ้าอริฎฐชนกเป็นอุราชอยู่นั้นก็รู้สึกว่าเป็นคนยุติธรรมดีอยู่ แต่เมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วหูเบา ฟังแต่ถ้อยคำคนประจบสอพลอ เพราะตามธรรมดาคนประจบสอพลอนั้น จะต้องหาเรื่องฟ้องคนนั้นคนนี้อยู่เสมอ เพราะคนไม่ทำงานแต่ก็อยากได้ความชอบ และการได้ความชอบโดยไม่ต้องทำงานวิธีง่ายที่สุดคือเหยียบย่ำผู้อื่นให้ตกแล้วตนจะได้แทนตำแหน่งนั้น
ตามธรรมดาของโลกย่อมจะมีเช่นนี้ตลอดกาล ผู้ทรงอำนาจกับความหูเบามักจะเป็นของคู่กัน ถ้าใครได้อ่านพงศาวดารจีน หรือแม้แต่ประวัติศาตร์ของไทย จะเห็นความหูเบามักจะทำไห้บ้านเมืองต้องพินาศ เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน
เจ้าอุปราชโปลชนกถูกกล่าวหาจากผู้ใกล้ชิดของพระเจ้ากรุงมิถิลาว่าจะทำการกบฎ เพราะเจ้าอุปราชทรงอำนาจในทางการเมืองมาก ครั้งแรกก็ยัง ไม่ยอมเชื่อ ครั้งที่สองก็ชักลังเล พอครั้งมี่สามก็ทรงเชื่อเอาเลย ลืมคิดว่าผู้เป็นน้องของพระองค์ที่คลานตามกันออกมาแท้ ๆ ลักษณะเช่นนี้เข้าหลักที่ว่า


“อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลักไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว”

แม้ความรักระหว่างพี่กับน้องก็ตัดได้ ถึงกับสั่งให้จับพระมหาอุปราชไปคุมขังไว้ยังที่แห่งหนึ่ง โดยหาความผิดมิได้มีคนควบคุมอยู่อย่างแข็งแรง เจ้าอุปราชถูกควบคุมโดยหาความผิดมิได้ ก็คิดจะหลบหนีออกไป จึงตั้งสัตย์อธิษฐานว่า
“ขอเดชะพระเสื้อเมืองทรงเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตัวข้าพเจ้ามิได้คิดทรยศต่อที่ชายเลย แต่กลับถูกจับคุมขังทำโทษหาความผิดมิได้ ถ้าใจของข้าพเจ้าซื่อสัตย์ต่อพี่ชายจริงแล้ว ขอให้โซ่ตรวนขื่อคาตลอดจนประตูคุก จงเปิดให้ประจักษ์เถิด”
พอสิ้นคำอธิษฐานเท่านั้นด้วยความสัตย์สุจริตของมหาอุปราช บรรรดาเครื่องจองจำทั้งหลายก็หลุดออกจากกายของพระองค์ประตูเรือนจำก็เปิด มหาอุปราชก็เลยหนีออกจากที่นั้นไปซุ่มซ่อนอยู่ตามชายแดน

พวกพลเมืองได้ทราบข่าวอุปราชหนีออกมา และเห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินเชื่อถือแต่คำสอพลอถึงกับกำจัดน้องในไส้จึงพากันเห็นใจเจ้าอุปราช ๆ ก็ไพล่พลมากขึ้น ตอนนี้พระเจ้าแผ่นดินไม่กล้าส่งคนออกติดตามแล้ว เพราะกลัวจะเกิดศึกกลางเมืองขึ้น เพราะทราบดีว่าถ้าส่งคนออกไปจับเจ้าอุปราชก็คงจะต้องสู้จึงเลยทำเป็นใจดีไม่ติดตาม

เจ้าอุปราชรวบรวมไพล่พลได้พอสมควรแล้วก็คิดว่า
“ครั้งก่อนเราซื่อสัตย์ต่อพี่ชาย แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎถูกจับคุมขัง จนต้องทำสัตยาอธิษธานจึงหลุดพ้นออกมาได้ ต่อไปนี้เราจะต้องทำความชั่วตอบแทนพี่ชายบ้างล่ะ”
เมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว เจ้าโปลชนกก็รวบรวมไพล่พลเสบียงอาหาร พร้อมแล้วก็ยกกองทัพเข้ามายังมิถิลานคร บรรดาหัวเมืองรายทางรู้ว่าเป็นกอง ทัพของพระเจ้าโปลชนก ก็ไม่สู้กลับเข้าด้วยเสียอีก เจ้าโปลชนกก็เลยได้คนมากขึ้นอีก ทัพก็ยกมาได้โดยเร็วเพราะหาคนต้านทานมิได้ ตราบจนกระทั่งถึงชานพระนคร จึงมีสาส์นส่งเข้าท้ารบว่า
“พระเจ้าพี่ ครั้งก่อนหม่อมฉันไม่เคยจะคิดประทุษร้ายพระเจ้าพี่เลย แต่หม่อมฉันก็ต้องถูกจองจำทำโทษที่พระเจ้าพี่เชื่อแต่คำสอพลอ บัดนี้หม่อมฉันจะประทุษร้ายพระเจ้าพี่บ้างล่ะ ถ้าจะไม่ให้เกิดสงคราม ขอให้พระเจ้าพี่มอบราชสมบัติให้หม่อมฉันเสียโดยดี ถ้าไม่ให้ก็จงเร่งเตรียมตัวออกมาชนช้างกับหม่อมฉันในวันรุ่งขึ้น

พระเจ้าอริฎฐชนก พอมาถึงตอนนี้ก็ต้องตกกระไดพลอยโจน จึงคิดจะยกพลออกไปต่อสู้กัน แต่ในขณะนี้นพระอัครมเหสีทรงพระครรภ์อยู่ พระเจ้าอริฎฐชนกจึงตรัสเรียกมาสั่งว่า

“น้องหญิง ขึ้นชื่อว่าสงครามแล้วไม่ดีเลย เพราะมีแต่ความพินาศเท่านั้น ประดุจสาดน้ำรด กันก็ย่อมจะเปียกปอนไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
อีกประการหนึ่งเป็นเรื่องที่คาดหมายลงไปแล้วแน่นอนว่าจะชนะฝ่ายเดียวนั้นก็ไม่ได้ พี่จะยกพลออกไปสู้กับเจ้าโปลชนก หากพี่เป็นอะไรไป เจ้าจงพยายามรักษาครรภ์ให้จงดีเจ้าจงคิดถึงลูกของเราให้มาก”
แล้วก็ยกพลออกไป และก็เป็นตามลางสังหรณ์ที่พระเจ้าอริฎฐชนกคาดว่าจะแพ้ก็แพ้จริง ๆ เพราะเมื่อได้ชนช้างกับเจ้าโปลชนกก็พลาดพลั้งเสียที ถูกเจ้าโปลชนกฟันสิ้นพระชนม์กับคอช้าง ไพล่พลก็แตกกระจัดกระจายพ่ายหนีอย่างไม่เป็นกระบวน
พระเทวีได้ทราบข่าวว่าพระสวามีสิ้นพระชนม์ และประชาชนพลเมืองแตกตื่นอุ้มลูกจูงหลานหนีข้าศึก พระนางก็เก็บของมีค่าใส่ลงใน กระเช้า เอาผ้าเก่า ๆ ปิดแล้วแอาข้าวสารใส่ข้างบน แล้วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ ร้องไห้ฟูมฟายหลบหนีปะปนไปกับประชาชนพลเมือง โดยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
“จะหนีไปทางใดจึงจะรอดพ้นจากข้าศึก” พระนางคิดอยู่แต่ในใจ แล้วระลึกขึ้นได้ว่า
“เมืองกาลจัมปาอยู่ทางทิศเหนือกับมิถิลา ถ้าหากหลบหนีไปเมืองนี้ได้ก็ปลอดภัย” จึงพยายามดั้นด้นไปจนออกประตูด้านเหนือของเมืองได้
ด้วยบุญญาธิการของทารกในครรภ์ บันดาลให้ร้อนไปถึงพระอินทร์ เข้าลักษณะที่ว่า “ทิพย์อาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดังศิลาประหลาดใจ จะมีเหตุมั่นแม่นในแดนดิน" อมรินทร์เร่งคิดสงสัย จึงสอดส่องทิพย์เนตรดูเหตุภัย ก็ได้ทราบว่าพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ในครรภ์ของพระนางจะได้รับทุกข์ พระนางจะไปเมืองกาลจัมปาแต่ก็ไม่รู้จักหนทาง เดี๋ยวนี้ไปนั่งถามทางผู้คนที่ผ่านไปมาอยู่ ณ ศาลาพักคนเดินทางจำจะต้องอนุเคราะห์ ถ้าไม่อนุเคราะห์หัวเราจะต้องแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง เออ.? คิดดูก็น่าหนักใจแทนพระอินทร์เสียจริง ไม่ว่าคนมีบุญจะตกทุกข์ได้ยากอย่างไร เป็นต้องเดือดร้อนไปกับเขาด้วยเสมอ เวลาเขาเสวยสุขสิไม่ เคยคิดถึงพระอินทร์เลย จึงเนรมิตตนเป็นคนชรา ขับเกวียนผ่านมาทางนั้น พระนางพอเหลือบแลเห็นก็ออกปากถามทันที
“ตาจ๋า หลานอยากจะรู้ว่าเมืองกาลจัมปาอยู่ทางไหน”
“แม่หนูจะไปไหนล่ะ”
“ฉันจะไปเมืองกาลจัมปา”
“ญาติฉันมีอยู่ทางเมืองนั้น สามีออกไปรบข้าศึกก็ตายเสีย ฉันก็เลยจะพึ่งพาอาศัยญาติอยู่”
“ถ้าอย่างนั้นดีทีเดียว ตาก็จะไปเมืองกาลจัมปาเหมือนกันแม่หนูมาขึ้นเกวียนเถิด” เหมือนเทวดามาโปรด และแท้ที่จริงก็เทวดามาโปรดจริง ๆ
เมื่อขึ้นเกวียนเพราะความเหนื่อยและเพลียในการที่ระหกระเหิน พระนางก็เอนกายลงพักผ่อนและก็เลยหลับไป นางตื่นขึ้นในตอนเย็น ก็พบว่านางได้ถึงเมืองแห่งหนึ่ง จึงถามตาคนขับเกวียนว่า
ตาจ๋า เมืองที่เห็นอยู่ข้างหน้านั้นเขาเรียกว่าเมืองอะไร” “เมืองกาลจัมปาที่แม่หนูต้องการจะมานั้นเเหละ” “โอ.? ตา เขาว่าเมืองกาลจัมปาไกลตั้ง 60 โยชน์ทำไมถึงเร็วนัก” “แม่หนูไม่รู้ดอก ตาเป็นคนเดินทางผ่านไปมาเสมอ ย่อมจะรู้จักทางอ้อม นี่ตามาทางลัดจึงเร็วนัก” เทวดาว่าเข้านั้น
บ้านอยู่ทางเหนือ จะต้องรีบไป ให้พระนางลงเสียตรงนี้ พระนางจึงลงจากเกวียนไปพักอยู่ที่ศาลาหน้าเมือง คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี เพราะเมืองนี้นางไม่รู้จักใครเลย
ในขณะนั้นอาจารย์ผู้ใหญ่ผู้หนึ่งพาลูกศิษย์เดินทาง ผ่านมาทางนั้น เห็นนางนั่งอยู่ในศาลาหน้าตาน่าเอ็นดูเกิดความสงสารเข้าสอบถามได้ความว่า นางหนีภัยมาจากข้าศึกมา ญาติพี่น้องก็ไม่มี
นางดูลักษณะ เห็นว่าเป็นคนดีก็ยอมไปด้วย และได้แสดงตนให้บรรดาศิษย์และคนอื่นทราบว่านางเป็นน้องของอาจารย์ผู้นั้น และได้ไปอาศัยอยู่กับอาจารย์ฐานะน้อง จวบจนกระทั่งนาง ได้คลอดบุตรว่า มหาชนก
มหาชนกเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาไปกับเด็กทั้งปวง ถูกรังแกก็ต่อสู้ เด็กเหล่านั้นสู้ไม่ได้ วิ่งไปบอกพ่อแม่ว่าถูกเด็กลูกไม่มีพ่อทำร้ายเอา เมื่อเด็กพูดกันบ่อย ๆ มหาชนกก็เกิดสงสัย วันหนึ่งสบโอกาสจึงถามมารดาว่า
“แม่จ๋า ใครเป็นพ่อฉัน” “ก็ท่านอาจารย์นั้นเเหละเป็นบิดาของเจ้า” ครั้งแรกพระมหาชนกก็เชื่อ แต่เมื่อได้ยินพวกเด็ก ๆ ยังพูดอยู่เช่นนั้นก็เกิดสงสัย ดีร้ายมารดาเห็นจะไม่บอกกับเราจริง ๆ แม้ครั้งที่สองมหาชนกถามมารดาก็ตอบเช่นเดียวกับครั้งแรก มหาชนกจึงคิดหาอุบายจะให้มารดาบอกให้ได้ แม่จ๋า ขอให้บอกความจริงกับฉันเถิดว่า ใครเป็นพ่อของฉัน” “ก็ท่านอาจารย์ยังไงเล่าเป็นพ่อของเจ้า” “ทำไมแม่ให้ฉันเรียกว่าลุงเล่า” “เพราะอาจารย์อยากให้เรียกเช่นนั้น”
มหาชนกก็ยื่นคำขาดว่า “ถ้าแม่ไม่บอกความจริงให้ฉันทราบ ฉันจะกัดนมแม่ให้ขาดเลย” ไม่ใช่แต่พูดเปล่า ๆ มหาชนกเอาฟันดัดหัวนมมารดาจริง ๆ ด้วย แต่ไม่แรงนัก “โอ้ย ?แม่เจ็บ” มารดาอุทานออกมา “เมื่อเจ็บแม่ต้องบอกความจริงให้ฉันรู้” “เอาล่ะ แม่จะบอกให้รู้ แต่ที่ยังไม่บอกเจ้าก็เพราะเจ้ายังเล็กนักไม่สามารถทำอะไรได้ เจ้าเป็นลูก

กษัตริย์เมืองมิถิลานครบิดาของเจ้าชื่ออริฐชนก ถูกเจ้าอุปราชโปลชนกแย่งสมบัติ พ่อเจ้าตายในที่รบ มารดากำลังท้องอยู่ก็หลบหนีเซซัดมาอาศัยอยู่กับท่านอาจารย์ ณ ที่นี้"

และนับตั้งแต่นั้นมาเจ้ามหาชนกแม้จะถูกพวกเด็ก ๆ ว่าลูกไม่มีพ่อก็ไม่มีความโกรธเคือง และพยายามเล่าเรียนวิชาการทุกประเภท เพื่อต้องการจะกลับไปเอาราชสมบัติคืนให้จงได้ จวบจนกระทั่งอายุได้ 16 ปี เจ้ามหาชนกก็เรียนศิลปศาสตร์ 18 ประการจบหมด ผิวพรรณของเจ้ามหาชนกผ่องใสเปรียบเหมือนทองคำความคิดที่จะเอาสมบัติของพ่อคืนก็มากขึ้น วันหนึ่งจึงเข้าไปถามมารดาว่า “แม่จ๋า แม่จากเมืองมาแต่ตัวหรือว่าได้สมบัติของพ่อมาบ้าง” “เจ้าถามทำไม” “เพราะว่าลูกต้องการจะเอาไปทำทุน แก้แค้นเอาสมบัติของพ่อกลับคืนมา” “แม่เอาแก้วมาด้วย 3 ดวง เป็นแก้ววิเชียน 1 ดวง มณีดวง 1 แก้วมุกดาดวง 1 แก้วทั้ง 3 นี้ มีราคามาก หากจะมาขายก็ได้เป็นเงินเป็นจำนวนมาก พอที่จะทำทุนสำหรับเอาราชสมบัติของพ่อเจ้ากลับคืนมาได้” “ลูกต้องเอาเพียงครึ่งเดียว เพี่อจะทำทุนไปค้าขายยังสุวรรณภูมิ จะได้รวบรวมเงินทองและผู้คนเพื่อชิงเอาราชสมบัติของพระบิดากลับคืนมาให้ได้” “เจ้าอย่าไปค้าขายเลย เอาแก้วสามดวงนี้แหละขายซ่องสมผู้คนเถิด เจ้าไปไกลแม่เป็นห่วง”
เจ้ามหาชนกก็ไม่ยินยอม มารดาจึงเอาเงินทองมาให้ เจ้ามหาชนกก็ซื้อสินค้าบรรทุกสำเภาเตรียมจะไปค้าขาย ณ สุวรรณภูมิกับพวกพ่อค้ามากหน้าหลายตาด้วยกัน เมื่อจัดแจงเรียบร้อยแล้ว มหาชนกก็มาลามารดาเพื่อจะเดินทาง
“เจ้าจงเดินทางโดยสวัสดิภาพ คิดอะไรให้สมปรารถนา” มารดาเจ้ามหาชนกให้พรแถมท้ายว่า “เจ้าจงอย่าจองเวรเลยสมบัติมันเสียไปแล้ว ก็แล้วไปเถิด เรามีอยู่มีกินก็พอสมควรแล้ว” แต่เจ้ามหาชนกก็บอกว่าอยากจะเดินทางท่องเที่ยวเป็นการเปิดหูเปิดตา และจะไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ในขณะที่เจ้ามหาชนกลงเรือเพื่อเดินทางไปค้าขายยังสุวรรณภูมินั้น ก็พอกับเจ้าโปลชนกกำลังประชวรหนักอยู่ในเมืองมิถิลานคร หลังจากที่ออกเดินทางเห็นแต่น้ำกับฟ้าแล้วประมาณได้สัก 7 วัน เรือก็ประสบเข้ากับมรสุมอย่างหนัก ผลสุดท้ายเรือบรรทุกสินค้า และผู้โดยสารก็อัปปางลงท่ามกลางเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้กลัวตาย แต่เจ้ามหาชนกมิได้คร่ำครวญร่ำไรอย่างคนอื่นเขา กับ 15 วา นับว่าเป็นระยะไกลมาก
ขณะที่เรือของเจ้ามหาชนกอับปางนั้น ก็พอดีกับเจ้าโปลชนกซึ่งครองราชสมบัติอยู่ ณ กรุงมิถิลา เสด็จสวรรคตเพราะโรคาพาธ .. เจ้ามหาชนกมิได้ท้อถอย พยายามว่ายน้ำกระเสือกกระสนเพื่อจะให้รอดจากความตาย กล่าวว่านานถึง 7 วัน และในวันที่ 7 กำหนด




Image

3. พระสุวรรณสาม


สุวรรณสาม แม้เขาจะถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส
แต่เขาก็ยังแผ่เมตาจิตไปยังพวกที่ทำร้าย
โดยหาความโกรธเคืองไม่ได้นี่คือปฎิปทาของสุวรรณสามต่อไป
ต่อมาไม่ช้าภรรยาของนายบ้านทั้งสองนั้นเกิดท้องขึ้นพร้อมๆกัน นายบ้านทั้งสองพากันดีอกดีใจมาก เพราะว่าตัวกำลังจะได้เห็นผลของคำสัญญาที่ตกลงกันไว้ เมื่อภรรยาท้องพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็คลอดบุตรออกมา ภรรยาของอีกบ้านหนึ่งคลอดออกมาเป็นหญิง ส่วนอีกบ้านคลอดออกมาเป็นชาย เขาพากันดีใจมากที่หมู่บ้านทั้งสองจะกลายมาเป็นหมู่บ้าน เดียวกัน แม้จะมีแม่น้ำมาแยกก็ตาม แต่เพราะทั้งสองบ้านนี้รวมเป็นบ้านเดียวกันได้ ฝ่ายหญิงให้ชื่อว่า "ปาริกา" ส่วนฝ่ายชายชื่อว่า " ทุรุก " แต่ทั้งสองฝ่ายหญิงและฝ่ายชายที่เกิดมานี้ ออกจะผิดเพศพ่อกับแม่ไปมากเพราะว่าหมู่บ้านนี้เขาทำการหากินด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คือเข้าป่าล่าเนื้อเบื่อปลาต่าง เอามาเลี้ยงชีวิต แต่เด็กทั้งสองที่เกิดภายหลัง หามีจิตใจเป็นเช่นนั้นไม่ กลับมีจิตใจประกอบด้วยเมตตากรุณา แม้เห็นใครทำร้ายชีวิตสัตว์ เขาทั้งสองจะพากันเศร้าสลดว่า เออ?.. คนเหล่านี้ทำกรรมทำชั่ว เมื่อตายไปแล้วก็จะตกนรกตั้งกัลป ไม่มีใครช่วยได้
เมื่อทั้งสองคนนี้ได้เติบโตบรรลุนิติภาวะสมควรแก่การแต่งงานได้แล้ว ครอบครัวทั้งสองฝ่ายก็ได้จัดแจงให้คนทั้งสองได้แต่งงานกัน เมื่อแต่งงานแล้วคนทั้งสองหาได้มีความสนิทเสน่หาในฐานะสามีภรรยากันไม่ เพราะเขาไม่เคยคิดในเรื่องสิ่งเหล่านี้ คิดแต่ว่าเราจะทำอย่างไรจึงจะพ้นไปจากทุกข์หล่านี้ได้ แม้บิดามารดาจะให้เขาทั้งสองร่ำเรียนวิชาการที่จะสืบสกุล คือให้เป็นพรานต่อไป เขาก็ปฎิเสธ
คือบิดาเคยพูดว่า “เจ้าหนู เจ้านะควรที่จะต้องเรียนวิชายิงธนู เพื่อที่จะเป็นอาชีพเลี้ยงตัวของเจ้า เพราะว่าในเรื่องของการยิงสัตว์ แล้วไม่มีใครเกินมือพ่อ หากพ่อ ออกไปคราวใด เจ้าก็คงจะเคยเห็นว่าจะต้องได้เนื้อสัตว์ มาเสมอ ๆ เจ้าควรจะต้องฝึกยิงไว้”
แต่ทุรุกกุมารกลับตอบเสียว่า “คุณพ่อครับ การทำลายสัตว์ ชีวิตเอามาเลี้ยงชีวิตเรา กระผมทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าให้กระผมได้เรียนวิชาเอาไปฆ่าสัตว์ เลยครับ
“หน่อยเจ้าหนู เจ้ามันอวดดี จะไม่เหมาะเสียสักหน่อยล่ะกระมัง เจ้าน่ะอยู่ในบ้านพรานแล้วเจ้าจะหากินทางไหน เจ้าไม่มีที่จะไปหากินทางนี้เจ้าจะต้องอดตาย เพราะเมื่อเจ้าได้แต่งงานแต่งการเช่นนี้แล้ว เจ้าจะตั้งหลักฐานได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าหาทรัพย์ ไม่ได้เลยสักอย่างเดียว"
“คุณพ่อครับ กระผมตั้งใจว่าจะสร้างตัวด้วยลำแข้งของกระผมเอง ด้วยการที่ไม่ต้องไปเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่นเอามาเป็นชีวิตของตัวเอง"
“ไอ้หนู ออกจะอวดดีเกินไปสักหน่อยล่ะกระมังเจ้าควรคิดให้ดีนะว่าพ่อเป็นนายพราน แล้วนี้เป็นหมู่บ้านพราน เมื่อเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เจ้าจะอยู่ยังไง คิดดูให้ดี"
“พ่อครับ ผมน่ะไม่เคยรังเกียจหมู่บ้านพราน เพราะว่าในใหมู่บ้านนี้น่ะถ้าไม่ใช่ญาติกันก็เป็นมิตรสหายกัน เพราะฉะนั้นกระผมมิได้มีความรังเกียจเลย แต่จิตใจของกระผมน่ะ มันไม่อยากจะทำกรรมเหล่านั้นครับ"
“เมื่อเจ้าไม่ทำ พ่อเห็นว่าเจ้าควรที่จะออกไปจากบ้านนี้เพื่อเเสวงหาทางตั้งตัวของเจ้าต่อไปทางอื่นดีกว่า"
“ขอรับคุณพ่อ เมื่อคุณพ่อให้สติผมเช่นนี้ กระผมก็กราบลา และนับแต่นี้เป็นต้นไป กระผมจะขอบวชครับ"
“เอา ตกลง"

เมื่อได้รับคำอนุญาติจากพ่อแม่แล้วทั้งสองคนก็เดินทางออกไปสู่ป่าเพื่อบำเพ็ญพรต่อไป
วันนั้นพระอินทร์ก็เผอินเกิดร้อนใจ ก็เล็งแลทิพย์เนตรลงมาตรวจดูว่าจะมีเห็นอะไรบ้าง ก็เห็นท่านทั้งสองออกเดินทางมาบำเพ็ญพรต สมควรจะต้องช่วยเหลือ ถ้าไม่ช่วยเหลือท่านทั้งสองจะลำบาก จึงสั่งให้พระวิษณุกรรมไปเนรมิตบรรณศาลา เพื่อท่านทั้งสองได้อาศัย

เมื่อพระวิศณุกรรมเนรมิตศาลาเสร็จ แล้วก็เขียนหนังสือบอกไว้ว่า หากผู้ใดมีความประสงค์ที่จะบำเพ็ญภาวนาก็ขอให้ศาลานี้ให้เกิดประโยชน์เถิด
เมื่อท่านทั้งสองได้เห็นบรรณศาลาเช่นนั้นก็ดีใจ เละเมื่อเข้าไปเห็นหนังสือที่เขียนไว้ จึงยึดเอาศาลานี้เป็นที่บำเพ็ญพรตของคนทั้งสอง แต่เรื่องของคนทั้งสองคนยังไม่หมด พระอินทร์ได้สอดส่องทิพย์เนตร


ก็เห็นว่าต่อไปท่านทั้งสองนี้เนื่องด้วยกรรมเก่าของท่านทั้งสองนี้ถึงกับเสียตา และเมื่อเป็นเช่นนั้นการหาอาหารก็จะลำบาก ควรจะต้องหาใครไว้สักคนหนึ่งเพื่อเอาไว้ช่วยเหลือ จึงใปหาพระดาบส พร้อมกับพูดว่า
“ท่านขอรับ ท่านมาอยู่ในป่าสองคนผัวเมีย ไม่มีคนปฎิบัติหากเป็นอะไรไปแล้วจะได้รับความลำบากมาก”
“โอ?.. ไม่เป็นไรหรอก เราอยู่ในป่าก็อยู่อย่างสบายแม้เราจะเป็นอะไรไป เราก็คิดสละแล้ว เพราะเราทั้งสามีภรรยานี้ ได้สละชีวิตแล้วเพื่อบำเพ็ญพรต”
“แต่ท่านครับ ต่อไปท่านจะต่องเสียตา และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วท่านตะหาอาหารที่ไหนได้”
“ตามใจมันเถอะ ถ้ามันหาอาหารไม่ได้มันก็ตายเท่านั้นเอง”
“แต่ว่าทำอย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกามเหล่านี้ล่ะ”
“เอ? ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีเล่าครับ ท่านน่ะจะต้องเสียตา แล้วใครจะปฎิบัติรักษาท่านได้ และเมื่อท่านสิ้นชีวิตเสียแล้ว การบำเพ็ญเพียรภาวนาเพื่อจะบรรลุผลสำเร็จถึงวันข้างหน้าท่านจะทำอย่างไรเล่าครับ เอาล่ะ ผมมีหนทางอย่างหนึ่ง แต่ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจท่านเถอะครับ.....คืออย่างงี้ ถึงเวลาภรรยาของท่านจะมีระดู กระผมน่ะอยากให้ท่านเอามือลูบท้องภรรยาท่านสามทีเท่านั้น ท่านก็จะมีลูกไว้ใช้สอย ท่านพอจะทำได้หรือไม่ครับ”
“เออ เท่านี้เหรอ ถ้าเพียงเท่านี้ก็พอจะทำได้หรอก แต่ว่าเรื่องอื่นไม่เอานะ”
เมื่อพูดจาตกลงกันอย่างนี้ เมื่อนางปาริกามีระดูก็ได้บอกกับทุรุกดาบสทราบ ทุรุกจึงได้เอามือลูบท้องของภรรยาสามที และนับแต่นั้นมานางปาริกาก็ตั้งครรภ์

เมื่อครบกำหนดก็คลอดออกมาเป็นเด็กผู้ชาย มีรูปพรรณสวยงาม ผิวเนื้อประดุจทอง เขาเลยตั้งชื่อว่า สุวรรณสาม เจ้าสุวรรณสามนี้น่ะ ตั้งแต่เกิดมาก็มีเมตตาจิตเพราะว่าบิดามารดาเป็นคนดีอยู่แล้ว ก็สอนให้สุวรรณสามนี้ประพฤติดีตลอดมา และก็สอนให้รู้จักทางทำมาหากิน คือทางที่มีผลไม้ท่านก็จะพาสุวรรณสามนี้ให้ไปรู้จักไว้บ้างว่าทางนี้น่ะมีผลไม้ทางโน้นไม่มี ว่าทางนี้จะไปไหน และจะกลับอาศรมได้เวลาใด ก็พยายามแนะนำสั่งสอนตลอดเวลา เจ้าสุวรรณสามก็โตขึ้น

; จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งเป็นเวลาที่ท่านจะประสบอุบัติเหตุตามที่พระอินทร์ได้เคยว่าให้ฟังตั้งแต่ก่อน วันนั้นพอออกไปหาผลไม้เผอิญเกิดลมฝน อ้ายลมนี่น่ะมันเกิดขึ้นมามักจะมืดมัว ไอ้ ป่าไม้มันก็มืด ท่านทั้งสองก็เลยไปหลบเข้าไปอาศัยอยู่ที่พุ้มไม้แห่งหนึ่งที่พุ่มไม้แห่งนั้นน่ะ เผอิญมันมีงูเห่าอยู่ตัวหนึ่งอยู่ที่นั่น พอเห็นมีคนเข้าไปจะว่าหวงโน่นหวงนี่ก็ใช่ที่ จะเพราะว่าถึงคราวของท่านมากกว่า จึงบังเอิญให้เจ้างูเห่านี่พ้นพิษงูออกมา เมื่อท่านทั้งสองเข้าในที่นั้น พิษนั้นก็เข้าตาของท่านทั้งสอง ท่านทั้งสองก็ตามืดมัว จนกระทั่งมองไม่เห็นอะไรเลยผลที่สุดไปไหนไม่ได้เลย อาหารก็หาไม่ได้

เจ้าสุวรรณสามนั้นคอยอยู่บรรณศาลา ถึงเวลาก็ไม่เห็นพ่อและแม่กลับมา ก็สงสัยในใจอยู่แล้ว จนกระทั่งเวลาเย็นเห็นว่าผิดเวลามากแล้ว ก็เลยออกตาม ออกตามนี้คือที่หมายความว่า ทางใดที่เคยไปหาผลหมากรากไม้เจ้าสุวรรณสามก็ตามไปทางนั้น ก็พอดีไปพบท่านทั้งสองยังนั่งอยู่ใต้ร่มไม้นั้น เมื่อสอบถามได้ความว่าถูกพิษร้ายจนกระทั่งเสียตา เจ้าสุวรรณสามก็หัวเราะขอบใจ
“ไอ้หนู”
“เจ้าหัวเราะทำไม ?”
“ก็หัวเราะพ่อกับแม่ที่ถูกพิษจนกระทั่งตาบอดน่ะสิ”
“เอ๊ะ? เจ้านี่ พ่อแม่ได้รับความทุกข์เจ้ากลับชอบใจรึ”
“ครับชอบใจ”
“อ้าว? ทำไมเป็นอย่างนั้นไปล่ะ เจ้าคิดจะเป็นคนเนรคุณล่ะสิ”
“เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้น ที่ผมดีใจน่ะ ผมจะได้เลี้ยง พ่อแม่ตามกำลังของผมโดยพ่อกับแม่ปฎิเสธไม่ได้ คราวก่อนผมจะออกไปหาเอง พ่อกับแม่ก็บอกว่าอย่าออกไปเลย ยังมีกำลังหาได้ก็จะหาไปก่อน และเดี๋ยวนี้พ่อกับแม่ก็เป็นคนพิการเสียแล้ว ไม่สามารถที่จะไปไหนได้ เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องหาเลี้ยงพ่อแม่ นี่เหละครับเป็นเรื่องที่ผมดีใจที่สุด แล้วยังงี้จะไม่ให้ผมหัวเราะได้อย่างไรครับ”
“เออ เมื่อเป็นอย่างนี้จริง ๆ พ่อต้องโมทนาด้วย เอาล่ะเดี๋ยวนี้มันก็เย็นแล้ว พ่อตาไม่เห็นอะไรแล้ว เจ้าก็ช่วยพาพ่อกับแม่กลับไปอาศรมของเราเถอะ” เจ้าสุวรรณสามก็พาท่านทั้งสองกลับอาศรม

และนับแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าสุวรรณสามก็ปฎิบัติท่านทั้งสองเป็นอันดี คือสถานที่เดินจงกลมหรือไปถ่ายทุกข์หรือว่าจะไปถ่ายเบา หรือว่าจะไปอาบน้ำอาบท่าก็ดี เจ้าสุวรรณสามก็พยายามหาเชือกเครือเถาต่าง ๆ มาผูกพอเป็นเครื่องหมายให้ท่านทั้งสองเดินเกาะไปตามราวเหล่านี้ ทำสิ่งเหล่านั้นได้โดยตัวเอง ซึ่งเป็นความสะดวกซึ่งท่านทั้งสองก็ทำได้อย่างสบาย


เจ้าสุวรรณสามก็ออกไปหาผลหมากรากไม้ พร้อมทั้งตักน้ำตักท่ามาไว้เพื่อให้ท่านทั้งสองได้ใช้ เจ้าสุวรรณสามได้ปฎิบัติบิดามารดามาโดยอาการเช่นนี้เป็นปกติ บิดามารดาก็รับความสุขขึ้นกว่าแต่ก่อน..
ในเมืองพาราราณสีมีพระราชาองค์หนึ่ง ครอบครองราชสมบัติ ท้าวเธอทรงพระนามว่ากบิลยักษ์ พระองค์ทรงเป็นนักกีฬาชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ชอบเข้าป่าล่าสัตว์อยู่เป็นนิตย์ เมื่อท้าวเธอชอบเช่นนี้ก็ออกไปล่าสัตว์ แต่ดูก็แปลกประหลาดสักหน่อย เพราะพระเจ้ากบิลยักษ์ไปเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่เอาใครไปด้วยเลย เมื่อออกไปถึงบริเวณสถานที่ซึ่งสุวรรณสามเคยมาตักน้ำเห็นรอยเท้าสัตว์เกลื่อนไปหมด ก็ทรงดำริว่า
“ตรงนี้เข้าทีมีรอยเท้าสัตว์ลงมากินน้ำมากมาย คงจะได้ยิงสัตว์แน่ล่ะ”
แล้วท้าวเธอก็เสด็จเข้าไปซุ่มเพื่อยิงสัตว์ เมื่อคอยดูอยู่ได้สักครู่ ก็พอดีกับสุวรรณสามออกมาตักน้ำ มีหมู่เนื้อและกวางแวดล้อมกันมาเป็นหมู่ มาถึงฝั่งน้ำก็ลงไปตักเอาขึ้นมาท้าวกบิลยักษ์ทรงดำริว่า
“ผู้นี้จะเป็นเทวดาหรือใครแน่หนอ ดูรูปร่างงดงามเสียเหลือเกิน ถ้าเราปรากฎตัวเข้าไปให้เห็นก็คงจะหนีไปเสีย ทำอย่างไรจึงจะรู้ความเล่า” แล้วพระองค์ก็คิดขึ้นได้ว่า
"อย่าเลยเราต้องเอาศรยิงให้ล้มลงก็จะหนีไปไหนไม่ได้"
พอคิดได้เช่นนั้น พระองค์ก็โก่งศรเขม้นมุ่งยิงเจ้าสุวรรณสามทันที ลูกศรเหมือนมีวิญญาณ วิ่งไปเสียบร่างของเจ้าสุวรรณสามเข้า บรรดาสัตว์ก็พากันแตกตื่นหนีไป
สุวรรณสามพอรู้ว่าถูกศร ก็ปลดหม้อน้ำลงจากล่า ทรุดตัวลงนั่ง ปากก็ร้องถามออกไปว่า
“ท่านผู้ใดซึ่งเป็นคนยิง ได้โปรดออกมาเจรจากันสักหน่อยว่าจะต้องการอะไรจึงมายิงข้าพเจ้า ช้างเขาจะยิงก็เพื่องาเสือเล่าก็เพียงเพื่อหนัง ส่วนข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านจะต้องการอะไร จึงมายิงข้าพเจ้า ขอโปรดออกมาเถิด”
พระยากบิลยักษ์ชักเอ๊ะใจ
“เอ๊ะ? แปลก ชายคนนี้ถูกเรายิง ยังไม่โกรธเรายิง ยังไม่แสดงอาการโกรธเคืองเลยสักนิดเดียว ยังแถมเรียกเราออกไปเสียด้วยว่าต้องการอะไร”
พระองค์ก็ออกไปยังที่สุวรรณสามนอนอยู่ พร้อมกับกล่าวว่า
“พ่อหนุ่ม เราเป็นคนยิงเจ้าเอง แต่เพราะความพลาดพลั้งไปเท่านั้น เพราะเราตั้งใจจะยิงเนื้อที่กำลังมา ก็พอดีเจ้ามาทำให้เหล่านั้นแตกตื่นหนีไปหมด”
สุวรรณสามพูดขึ้นว่า
“ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย ท่านเป็นใคร เนื้อในป่าไม่เคยกลัวข้าพเจ้าเลย เพราะข้าพเจ้าเป็นเพื่อนของเขา ไปไหนเคยไปด้วยกัน มาตักน้ำเขาก็จะมาด้วย มากินน้ำกินท่าแล้วกลับไปด้วยกัน ท่านประสงค์อะไรก็ขอให้โปรดบอกเถิด”
พระยากบิลยักษ์ทรงละอายพระทัย แต่ฝืนถามว่า
“พ่อหนุ่ม เจ้าเป็นใครอยู่ในป่านี้ เป็นรุกขเทพ หรือเจ้าป่าเจ้าเขาประการใด ส่วนตัวเราเป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่ในกรุงพาราณสี ออกมาล่าสัตว์ "
สุวรรณสามคิดว่า
“หากเราจะหลอกลวงท้าวเธอว่าเป็นอารักขไพรสนฑ์หรือเทวดา พระองค์ก็ทรงเชื่อ แต่จะทีประโยชน์อะไรกับการโกหกเช่นนั้น เราพูดความจริงดีกว่า” จึงได้ตอบท้าวเธอ
“ข้าแต่สมมติเทพ ขอให้พระองค์ทรงมีพระชนมายุยืนยาวเถิด หม่อมฉันเป็นบุตรฤาษีอยู่ในป่านี้ และที่มาตักน้ำนี้ก็เพื่อจะเอาไปให้บิดามารดาได้อาบกิน”
พระเจ้ากบิลยักษ์ยิ่งคิดสลดพระทัย เพราะแทนที่เจ้าลูกฤาษีจะโกรธเคืองพระองค์ กลับให้ศีลให้พรเสียอีก อนิจจาเราทำกรรมหนักเหลือเกิน แต่ก็ยังไม่แน่ใจจึงถามอีกว่า
“พ่อหนุ่มที่เรายิงเจ้านี่ เจ้าไม่โกรธเคืองเราเลยหรือ"
“ข้าพระองค์ไม่โกรธเคืองพระองค์ และไม่เคยคิดจะโกรธเคืองพระองค์ เพราะคิดเสียว่าเป็นกรรมเก่าของข้าพระองค์เอง สงสารแต่พ่อแม่เท่านั้น เพราะท่านทั้งสองตาเสีย ไม่สามารถจะหาเลี้ยงชีพได้”
“พ่อแม่เจ้าเสียตาทั้งสองคนรึ”
“เป็นอย่างนั้นพระเจ้าค่ะ จึงตกเป็นหน้าที่ของพระข้าองค์จะต้องหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองได้ แต่เมื่อข้าพระองค์ต้องมาประสบภัยเสียเช่นนี้ท่านทั้งสองก็มีแต่จะรอความตายเท่านั้น”

พระราชายิ่งคิดก็ยิ่งร้อนพระทัย เพราะความวู่วามของเราวูบเดียวเท่านั้นจะล้างชีวิตคนไม่ผิดเสียอีกตั้งหลายคนเราจะทำอย่างไรดี ได้แต่คิดอยู่ในพระทัย ในที่สุดก็ตกลงใจแน่วแน่ว่าจะพยายามไถ่บาปให้น้อยลงบ้าง จึงกล่าวกับสุวรรณสามว่า
“พ่อหนุ่ม เราได้ผิดไปแล้วที่ยิงเจ้า ยังแถมจะให้บิดามารดาเจ้าถึงแก่ความตายเสียอีกด้วย เจ้าบอกทางไปบรรณศาลาของเจ้าให้เราทราบ เราจะเลี้ยงบิดามารดาของเจ้าเอง”
“เป็นพระคุณล้นเกล้า ข้าพระองค์คิดถึงแต่บิดามารดาเท่านั้น เมื่อพระองค์จะเลี้ยงท่านทั้งสองแทนข้าพระองค์ ก็นับได้ว่าข้าพระองค์หมดห่วงได้จริง ขอพระองค์จงทรงพระเกษมสำราญไร้โรคาพยาธิเถิด”
แล้วเขาก็ได้บอกทางไปยังบรรณศาลาของเขาให้พระเจ้ากบิลยักษ์ได้ทราบ พร้อมกับลมหายใจได้แผ่วเบา สิ้นเสียงก็สิ้นสั่ง สุวรรณสามตายเสียแล้ว พระเจ้ากบิลยักษ์จับเนื้อต้องตัวดู ก็เห็นว่ามือเท้าของเจ้าหนุ่มซึ่งนอนเพราะพิษศรของพระองค์เย็นขึ้นมาทุกขณะแล้ว เห็นว่าตายแน่ก็ตัดสินพระทัยหยิบหม้อน้ำขึ้นแบก สะพายศรไว้กับไหล่ดุ่มเดินไปอาศรมของฤาษีทั้งสอง
พอไปถึงอาศรมเห็นสองดาบสนั่งอยู่หน้าอาศรมคอยการกลับมาของเจ้าสุวรรณสามอยู่ ได้ยินเสียงใช่เท้าก็ทราบว่าไม่ใช่เจ้าสุวรรณสาม เพราะฝีเท้าหนักไม่เหมือนลูกชายของตัวเลย จึงเรียกไปว่า
“พ่อสาม พ่อพาใครมาด้วย”
พระเจ้ากบิลยักษ์พอได้ยิน ก็ทราบว่าเป็นบิดามารดาของสุวรรณสาม จึงเดินเข้าไปใกล้ วางหม้อน้ำลงพร้อมกล่าวว่า
“ท่านผู้เจริญ ...ข้าพเจ้าเป็นพระราชาอยู่ในพระนครพาราณสี มาเที่ยวยิงสัตว์ในป่านี้”
“ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญเถิด ขอเชิญพระองค์ เสวยน้ำท่าผลาหารที่เจ้าสามบุตรของหม่อมฉันจัดแจงไว้ใกล้ ๆ นี้เถิด”

เมื่อสนทนากันพอสมควรแล้ว พระเจ้ากบิลยักษ์ก็บอกให้ทราบว่า เจ้าสุวรรณสามได้ตายไปแล้ว เพราะความเข้าใจผิดของพระองค์เอง ดาบสทั้งสองก็เศร้าโศก และขอให้พาไปที่ศพของเจ้าสุวรรณสาม ซึ่งพระเจ้ากบิลยักษ์ก็ยินยอมพาไป เมื่อไปถึงสถานที่ศพเจ้าสุวรรณสามนอนอยู่ ดาบสทั้งสองก็เข้าไปยังศพของเจ้าสุวรรณสามลูบคลำ เผอิญมารดาไปคลำถูกอกรู้สึกว่ายังอุ่นอยู่ จึงตั้งสัตย์ขอให้เข้าสุวรรณสามได้คืนชีพ แม้นางเทพธิดาผู้เคยเป็นมารดาเจ้าสาม ในชาติก่อนซึ่งก็มาด้วยได้อธิษฐานพร้อมบิดาของเจ้าสาม ก็พลอยอธิษฐานด้วย
ด้วยแรงอธิฐาน ก็ได้บันดาลให้เจ้าสุวรรณสามกลับฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ ได้ถามไถ่กันทราบความตลอด จนฟื้นขึ้นมา และเมื่ออาการเป็นไปเช่นนี้ ทั้งหมดก็ได้พากันกลับไปนังสถานที่อยู่ของตน โดยพระเจ้ากบิลยักษ์เ มื่อไปถึงสถานที่แล้วก็คิดได้ถึงการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเห็นว่าสุวรรณสามและดาบสเหล่านี้อยู่ด้วยความสุข จึงได้ลากลับยังสถานที่ของตน

คติที่เราจะได้จากเรื่องนี้ ก็อยู่ที่ความเมตตากรุณา ซึ่งก็จะเป็นคุณช่วยให้เรารอดจากภัยอันตราย และไม่มีเวรไม่มีภัยด้วยประการต่าง ๆ ทางศาสนาจึงกล่าวว่าเป็นกัลยาธรรม คือเป็นธรรมอันงามที่จะเป็นเครื่องป้องกันมิให้ผู้อื่นทำร้ายได้ ก็เป็นอันว่าจบเรื่องสุวรรณสามเพียงเท่านี้.....


พระพุทธเจ้า สิบชาติ  

วิดีโอ YouTube

วิดีโอ YouTube

วิดีโอ YouTube

วิดีโอ YouTube

วิดีโอ YouTube

วิดีโอ YouTube

 

วิดีโอ YouTube

 

วิดีโอ YouTube

 

วิดีโอ YouTube

1 ความคิดเห็น:

พ่อใหญ่ครูเส กล่าวว่า...

ทศชาติชาดก ได้แก่

๑. เตมีย์ชาดก
บำเพ็ญเนกขัมมบารมี

๒. ชนกชาดก
บำเพ็ญวิริยบารมี

๓. สุวรรณสามชาดก
บำเพ็ญเมตตาบารมี

๔. เนมิราชชาดก
บำเพ็ญอธิษฐานบารมี

๕. มโหสถชาดก
บำเพ็ญปัญญาบารมี

๖. ภูริทัตชาดก
บำเพ็ญศีลบารมี

๗. จันทชาดก
บำเพ็ญขันติบารมี

๘. นารทชาดก
บำเพ็ญอุเบกขาบารมี

๙. วิทูรชาดก
บำเพ็ญสัจจบารมี

๑๐.เวสสันดรชาดก
บำเพ็ญทานบารมี












.

แสดงความคิดเห็น