กรณีศึกษาการปลูกปาล์มในพื้นที่ภาคอีสาน | ||
| ||
|
*** การเรียนรู้ตลอดชีวิตของพ่อใหญ่ครูเส โคตะขุน ***
*** การเรียนรู้ตลอดชีวิตของพ่อใหญ่ครูเส โคตะขุน ***
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
กรณีศึกษาการปลูกปาล์มในพื้นที่ภาคอีสาน
ปลูก "ปาล์มน้ำมัน" ในอีสาน ระวังโอกาสจะกลายเป็นเสี่ยง
ปลูก "ปาล์มน้ำมัน" ในอีสาน ระวังโอกาสจะกลายเป็นเสี่ยง
แต่จากสถานการณ์ของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกษตรกรในพื้นที่ภาคอีสานจำนวนไม่น้อยหันมาปลูกปาล์มน้ำมันมากยิ่งขึ้น มีพื้นที่ปลูกกว่า 1 แสนไร่ แม้ว่าในบางพื้นที่จะมีสภาพแห้งแล้ง ไม่มีศักยภาพที่เหมาะสมต่อการปลูกก็ตาม
แต่หลังจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลที่ก่อนหน้านี้มีราคาสูงถึงลิตรละ 45 บาท แต่ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ลิตรละ 18 บาท ขณะที่ราคารับซื้อปาล์มน้ำมันก็ตกต่ำ จากเดิมที่เฉลี่ย 6 บาท/กก.ปัจจุบันเหลือเพียง 2.60 บาท/กก. ซึ่งหากราคาน้ำมันยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำเช่นนี้ ก็มีแนวโน้มสูงว่าเกษตรกรจะทิ้งไร่ปาล์มน้ำมันอย่างแน่นอน
ดร.อุดม ชาคำ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปาล์มหนองคาย ระบุว่า ในช่วงกลางปี 2551 ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันเกษตรกรในภาคอีสานก็มีความตื่นกลัวว่าราคาน้ำมันจะทะยานสูงขึ้น ทำให้ในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา เกษตรกรหันมาปลูกปาล์มน้ำมันมากยิ่งขึ้น ทั้งๆ ที่ภาคอีสาน รัฐบาลยังไม่ได้ส่งเสริมให้ปลูกเพื่อใช้ในการผลิตไบโอดีเซลแต่อย่างใด เป็นเพียงการทดลองปลูกเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันหนองคาย ได้เพาะกล้าปาล์มสายพันธุ์สุราษฎร์ธานี 1-6 แล้วประมาณ 9 แสนต้น ซึ่งเป็นพันธุ์ที่เหมาะสม ให้ผลปาล์มโดยเฉลี่ย 1.5 ตัน/ไร่ เปอร์เซ็นต์น้ำมันเฉลี่ย 17-19% โดยศูนย์ได้กระจายกล้าปาล์มไปสู่มือเกษตรกรแล้วประมาณ 8 แสนต้น ในพื้นที่ปลูก 4 หมื่นไร่
"การปลูกปาล์มน้ำมันถือเป็นปัจจัยเสี่ยง กว่าจะรู้ได้ว่าต้นปาล์มน้ำมันที่ปลูกจะออกดอกเป็นตัวผู้หรือตัวเมียต้องใช้เวลา 20-21 เดือน หากต้นปาล์มขาดน้ำในช่วงนี้ ต้นปาล์มน้ำมันจะออกดอกเป็นตัวผู้หรือดอกตัวเมีย จึงค่อนข้างกังวลว่าอนาคตเกษตรกรจะไม่สนใจในการบำรุงรักษาสวนปาล์ม ที่ต้องการน้ำสูง เพราะราคาผลผลิตตกต่ำ จึงเป็นการเสี่ยงต่อการขาดทุนที่ค่อนข้างสูง" ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปาล์มหนองคาย
ด้าน นายสมบัติ เหสกุล นักวิชาการอิสระ ซึ่งวิจัยศักยภาพการผลิตพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกปาล์ม 2.37 ล้านไร่ ผลผลิต 6.24 ล้านตัน และจากการวิเคราะห์พื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกปาล์มน้ำมันทั้งประเทศ มีอีกประมาณ 3 แสนไร่ ภาคกลาง 4 หมื่นไร่ ภาคตะวันออก 7 หมื่นไร่ ภาคเหนือ 5 หมื่นไร่ และภาคใต้ 1.4 แสนไร่ ขณะที่ภาคอีสานมีพื้นที่ปลูกที่มีศักยภาพเพียงกว่า 1 หมื่นไร่เท่านั้น ซึ่งอยู่ในเขต จ.หนองคาย นครพนม ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และสุรินทร์
ทั้งนี้การปลูกปาล์มในเชิงพาณิชย์ของชาวอีสาน ขึ้นอยู่กับโอกาสและเงื่อนไข 4 ข้อ คือ 1.ปัจจัยน้ำ ต้นปาล์มน้ำมันต้องการน้ำเฉลี่ย 2,000 มม./ปี แล้งติดต่อกันไม่เกิน 3 เดือน แต่เขตภาคอีสานมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,300 มม./ปี และแล้งติดต่อกันมากกว่า 3 เดือน 2.แหล่งทุน เกษตรกรต้องมีเงินลงทุนในช่วง 30 เดือนแรก เฉลี่ยไร่ 1.3 หมื่นบาท และค่าติดตั้งระบบน้ำอีก 7,000 บาท/ไร่ ส่วนในปีที่ 4-25 จะต้องมีเงินทุนหมุนเวียน 4,000-5,000 บาท/ไร่ และทุกๆ 5 ปี จะต้องพัฒนาระบบน้ำอีก" 3.โรงงานสกัดปาล์มในพื้นที่ จะตั้งมีรัศมีไม่เกิน 50 กม.ซึ่งปัจจุบันเกษตรกรภาคอีสานจะต้องขนผลปาล์มไปขายที่ จ.ชลบุรี มีค่าใช้จ่ายในการขนส่ง 1.50-2.0 บาท/กก. และ 4.ทักษะของเกษตรกร ซึ่งการปลูกปาล์มต้องการดูแลรักษา การจัดการแปลง ซึ่งแตกต่างไปจากการทำไร่ทำนา
ดังนั้นหากคิดในเชิงเศรษฐศาสตร์ เกษตรกรที่ปลูกปาล์มตั้งแต่ 20 ไร่ขึ้นไป หากผลผลิตเฉลี่ย 3 ตัน/ไร่ ราคาปาล์มอยู่ที่ 3.90 บาท/กก. อัตราคุ้มทุนอยู่ที่ 5 ปี แต่ถ้าหากคำนวณราคาปาล์ม ณ ปัจจุบันที่ราคา 2.60 บาท/กก.เกษตรกรขาดแทนแน่นอน ฉะนั้นควรปลูกตามหัวไร่ปลายนา แล้วหีบใช้เองชุมชนจะคุ้มทุนกว่า
ขณะที่ นายอุบล อยู่หว้า ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน ระบุว่า ตามที่กรมพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาและส่งเสริมไบโอดีเซล โดยมีเป้าหมายจะส่งเสริมให้มีการใช้ไบโอดีเซลทดแทนน้ำมันดีเซลให้ได้ 5% ภายในปี 2554 ส่งเสริมให้มีการปลูกปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นให้ได้ 2.5 ล้านไร่ในปี 2551-2555 และเพิ่มเป็น 10 ล้านไร่ภายใน 2572 มีเป้าหมายในภาคอีสานอยู่ที่ 5 แสนไร่ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ขณะนี้เกษตรกรภาคอีสานได้ปลูกปาล์มน้ำมันไปแล้วประมาณ 1 แสนไร่ กระจายตามจังหวัดต่างๆ อาทิ หนองคาย เลย อำนาจเจริญ อุบลราชธานี มุกดาหาร และศรีสะเกษ ส่วนใหญ่เป็นรายย่อย มีพื้นที่ปลูกราว 10-20 ไร่ โดยได้ผันพื้นที่นาข้าว นาลุ่มน้ำท่วม สวนผลไม้ มาเป็นพื้นที่ปลูกปาล์มแทน
จากการศึกษาได้พบพื้นที่เหมาะสมของการปลูกปาล์มน้ำมันในภาคอีสานมีอย่างจำกัด แต่ปรากฏว่ามีการปลูกกระจายทั่วไป แม้แต่ในเขตพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น จ.มหาสารคาม ยโสธร ที่ต้องลงทุนสูง เฉพาะต้นกล้าราคาเฉลี่ย 60-180 บาท/ต้น เกษตรกรมีความเสี่ยง เพราะยังไม่มีโรงงานหีบน้ำมันปาล์มในภาคอีสาน จึงทำให้ไม่มีตลาดรับซื้อที่แน่นอน
หากประเมินในจากทุกมุมมองแล้วเกษตรกรในภาคอีสาน ควรจะตระหนักให้ดีก่อนตัดสินใจปลูกปาล์มน้ำมัน เนื่องจากดูจากปัจจัยต่างๆ แล้วมีอัตราเสี่ยงพอสมค
ที่มา : หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก
ปลูกปาล์มน้ำมันอีสานเสี่ยงสูง ขาดความรู้-ต้นทุนสูง-ไม่มีตลาดรับซื้อ
ปลูกปาล์มน้ำมันอีสานเสี่ยงสูง ขาดความรู้-ต้นทุนสูง-ไม่มีตลาดรับซื้อ
เวทีเสวนาฝ่าวิกฤตอาหาร และพลังงาน เรื่อง ปาล์มน้ำมันใน อีสาน : ความหวังหรือภัยเงียบ ? ซึ่งจัดโดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน), สถาบันวิจัยและการพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น และเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน กระทรวงพลังงาน และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นเมื่อเร็วๆ นี้ มีข้อมูลที่หลายฝ่ายต้องตระหนักอย่างยิ่ง
ปลูกปาล์มอีสานมีข้อจำกัดเพียบ
นายอุบล อยู่หว้า ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน เปิดประเด็นว่า ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน 3.2 ล้านไร่ ในปี 2550 มีผลผลิตออกสู่ตลาด 6.6 ล้านตัน ซึ่งกระทรวงพลังงานได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนา ส่งเสริมไบโอดีเซลทดแทนน้ำมันดีเซล ร้อยละ 5 ในปี 2554 หรือเป็นไบโอดีเซล B100 จำนวน 3.02 ล้านลิตรต่อวัน จึงมีแผนส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันเพิ่ม 2.5 ล้านไร่ในปี 2551- 2555 และเพิ่มเป็น 10 ล้านไร่ในปี 2572 โดยพื้นที่ภาคอีสานอยู่ในเป้าหมาย 5 แสนไร่ มีภาคเอกชน เข้ามาส่งเสริมและมีธุรกิจจำหน่ายกล้าปาล์มน้ำมันอย่างกว้างขวาง
ปัญหาเวลานี้คือ เกษตรกรชาวอีสานยังขาดข้อมูลความรู้เกี่ยวกับปาล์มน้ำมันในฐานะพืชแปลกถิ่น อีกทั้งยังไม่มีโรงงานสกัดปาล์มน้ำมัน ปัจจุบันมีการปลูกปาล์มน้ำมันในภาคอีสานไปแล้ว 70,000- 100,000 ไร่ ส่วนใหญ่ปลูกในพื้นที่ จ.หนองคาย, เลย, อำนาจเจริญ, อุบลราชธานี, มุกดาหาร และศรีสะเกษ โดยมีศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมัน จ.หนองคาย กรมวิชาการเกษตร เป็นหน่วยงานหลักให้การส่งเสริม มีการจัดฝึกอบรมและสนับสนุนสินเชื่อในรูปของกล้าปาล์ม และ ธ.ก.ส.ให้เงินกู้เพื่อปลูกปาล์มน้ำมันอีกด้วย
ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อยพื้นที่ปลูก 10-20 ไร่ ใช้พื้นที่เดิมที่เป็นนาข้าว นาลุ่มน้ำท่วม สวนมะขามหวาน ลำไย เป็นต้น ซึ่งเป็นการเบียดแย่งพื้นที่เพาะปลูกพืชอาหารได้
จากการลงพื้นที่ศึกษาของเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน พบข้อจำกัดในการปลูกปาล์มในภาคอีสานหลายด้าน คือ มีการปลูกปาล์มน้ำมันกระจายทั่วภาคอีสาน ทั้งที่หลายพื้นที่ไม่มีความเหมาะสม เช่น มหาสารคาม ยโสธร และพบว่าในหลายพื้นที่ อายุปาล์ม 4-5 ปี ที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วต้องตัดทะลายปาล์มทิ้ง เกษตรกรจึงเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงแต่ฝ่ายเดียว ขณะที่ราคาต้นกล้าปาล์มสูงถึงต้นละ 60-180 บาท ทั้งยังไม่มีโรงงานหีบน้ำมันปาล์มในภาคอีสาน จึงยังไม่มีตลาดรับซื้อที่แน่นอน
ดร.อุดม คำชา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมัน จ.หนองคาย ให้ข้อมูลว่า ได้กระจายกล้าปาล์มน้ำมันในภาคอีสานราว 8 แสนต้น คิดเป็นพื้นที่ปลูกประมาณ 4 หมื่นไร่ ซึ่งเป็นเพียงการเริ่มทดลองปลูกเท่านั้น เพราะต้องหาพันธุ์ที่เหมาะสม ทนแล้ง และให้ผลผลิตสูง เนื่องจากปาล์มเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก แต่มีพื้นที่ปลูกในเชิงพาณิชย์แล้ว 7 จังหวัด คือ หนองคาย, สกลนคร, นครพนม, มุกดาหาร, อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์
การปลูกปาล์มในภาคอีสานยังเป็นเรื่องน่าห่วง มีความเสี่ยงสูง เพราะยังไม่มีโรงงานสกัดน้ำมันในพื้นที่ ต้องมีเงินทุนหมุนเวียนหลายปี กว่าจะคืนทุนต้องใช้เวลา 7-10 ปี เกษตรกรทั่วไปไม่ควรปลูกเป็นพืชเชิงเดี่ยวในทางพาณิชย์ ควรปลูกพืชอื่นด้วย
อย่าผลีผลามปลูก-ศึกษาข้อมูลให้ดี
ขณะที่นายสมบัติ เหสกุล นักวิชาการ ผู้วิจัยศักยภาพการผลิตพืชพลังงาน กล่าวว่า ถ้าดูตัวแปรทางเศรษฐกิจในการปลูกปาล์มน้ำมันที่ภาคอีสาน ตนเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่คุ้มกับการลงทุน ที่ปลูกไปแล้ว 1 แสนไร่ ส่วนใหญ่ขาดความรู้ ขาดทักษะ ทั้งการคัดเลือกสายพันธุ์ การดูแล แม้แต่โรคที่เกิดกับปาล์มน้ำมันก็ยังไม่รู้ ส่วนโรงงานที่รับซื้อก็อยู่ใกล้ที่สุดที่ จ.ชลบุรี มีระยะทางไกลกว่า 700 กิโลเมตร ต้นทุนการขนส่งสูงมาก
ราคารับซื้อในภาคอีสานปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 2-2.50 บาท ถือว่าไม่คุ้มกับการลงทุน ที่ควรต้องได้ราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 3.5 บาทขึ้นไป จึงเห็นว่า ผู้ที่ยังไม่ปลูกก็ควรหยุดไว้ก่อน ส่วนที่ปลูกแล้ว รัฐบาลต้องส่งเสริมและหาทางช่วยเหลือต่อไป
การเสวนายังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไทยไม่พร้อมสำหรับการแข่งขันในตลาดระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้ครองตลาดน้ำมันปาล์ม ผู้ประกอบการรายเดียวลงทุนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้ต้นทุนต่ำ และภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน กำหนดให้น้ำมันพืชเป็น 1 ใน 15 รายการสินค้าที่ไทยต้องลดภาษีนำเข้าเป็นร้อยละ 0 ซึ่งจะส่งผลกระทบ กับอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มไทยทั้งระบบ
การเสวนาครั้งนี้มีความเห็นร่วมกันว่า จะต้องทำให้ประชาชนตระหนักในด้าน "ความมั่นคงอาหาร" ไม่ทำการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อการทำลายฐานทรัพยากรอาหารของครอบครัวและชุมชน ส่วนเกษตรกรรายย่อยที่ยังไม่ตัดสินใจปลูกปาล์มน้ำมันมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้เท่าทันข้อมูล ศึกษาอย่างละเอียดบนพื้นฐานความเป็นจริงของที่ดิน แหล่งน้ำ ตลาด และความรอบรู้เกี่ยวกับปาล์มน้ำมัน
สำหรับเกษตรกรที่ลงทุนปลูกไปแล้ว รัฐบาลต้องประสานให้มีการรับซื้อสกัดปาล์มน้ำมันเพื่อใช้ในชุมชน รวมทั้งต้องศึกษา วิจัย ให้เกิดข้อสรุปที่ชัดเจนก่อนทำการส่งเสริมและเผยแพร่ข้อมูลต่อเกษตรกรและสาธารณะทั้งแง่มุม "โอกาสและความเสี่ยง" ที่จะอาจเกิดขึ้น ไม่ใช่ปล่อยให้เกษตรกรตัดสินใจ บนพื้นฐานการรับรู้ข้อมูลที่เห็นว่าน่าจะให้ผลผลิตที่ดี
หรือได้รับคำแนะนำจากกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจกล้าปาล์ม เพราะสุดท้ายเกษตรกรต้องเป็นผู้ที่แบกรับภาระทั้งหมด
ที่มา : http://www.biothai.net/news/3710
.
ข้อควรคิดก่อน''ปลูกปาล์มน้ำมันในภาคอีสาน''
ที่มา : นสพ. เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 18 มกราคม 2549
ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี
ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี
You +1'd this publicly. Undo
การเพาะต้นกล้าแบบอนุบาลครั้งเดียว (single stage nursery) การเพาะต้นกล้าแบบนี้เป็นที่ นิยมปฏิบัติในประเทศแหล่งปลูกปาล์มน้ำมันในแอฟริกาตะวันตกและลาติน อเมริกา....
.
การปลูกปาล์มน้ำมัน
การปลูกปาล์มน้ำมัน
• ควรเลือกพื้นที่ที่ดินมีชั้นหน้าดินลึก ความอุดมสมบูรณ์สูงถึงปานกลาง
• ควรมีลักษณะดินร่วน ดินร่วนปนดินเหนียว ดินเหนียว เนื้อดินไม่ควรเป็นทรายจัด ไม่มีชั้นลูกรัง
หรือชั้นดินดานสูงมากกว่า 0.50 เมตร
• มีการระบายน้ำดีถึงปานกลาง น้ำไม่แช่ขังนาน มีระดับน้ำใต้ดินตื้น ความเป็นกรดเป็นด่างของดินที่ี่เหมาะสม 4 - 6
• ความลาดเอียง 1 - 12 % แต่ไม่ควรเกิน 23 %
• ควรอยู่ในเขตที่มีปริมาณน้ำฝนไม่น้อยกว่า 1,800 มม./ปี แต่ละเดือนควรมีฝนเฉลี่ยประมาณ 120 มม./เดือน
ฝนทิ้งช่วงติดต่อกันนานไม่เกิน 3 เดือน เพราะช่วงแล้งที่ยาวนานทำให้ดอกตัวเมียลดลง ดอกตัวผู้เพิ่มขึ้น
ส่งผลให้ผลผลิตลดลงในเวลา 19 - 22 เดือนหลังจากนั้น
• มีแหล่งน้ำเพียงพอสำรองไว้ใช้ ถ้ามีการขาดน้ำมากกว่า 300 มม.ต่อปีหรือช่วงแล้งติดต่อมากกว่า 4 เดือน
• พื้นที่ที่มีสภาพไม่เหมาะสมสำหรับปลูกปาล์มน้ำมัน เช่น ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ สภาพพรุ
ดินค่อนข้างเค็ม พื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังนาน ฯลฯ ต้องมีการจัดการแก้ไขตามสภาพปัญหาของพื้นที่นั้นๆ
• เป็นพื้นที่ที่มีแสงแดดประมาณ 2,000 ชั่วโมง/ปี หรือไม่ควรต่ำกว่า 5 ชั่วโมงต่อวัน
• อุณหภูมิ 22 - 32 องศาเซลเซียส
• ไม่อับลมและไม่มีลมพัดแรง
2. การเตรียมพื้นที่
• ทำถนนในแปลง เพื่อใช้เป็นเส้นทางขนส่งผลผลิตและปฏิบัติงานการดูแลรักษาสวน และเก็บเกี่ยวปาล์มการวางผัง
ทำถนนขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและขนาดของสวนปาล์มน้ำมัน โดยทั่วไปรูปแบบของถนน มี 3 แบบคือ
ข้อควรระวังในการปลูกพืชคลุมดินคือ
ต้องไม่ให้เถาของพืชคลุมพันต้นปาล์มน้ำมัน และควรมีการป้องกันกำจัดหนูที่จะมากัดโคนต้นปาล์มน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ
การวิเคราะห์ดินก่อนปลูกปาล์ม
เป็นการวิเคราะห์คุณสมบัติของดินทั้งทางเคมีและทางกายภาพ เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปประเมินสภาพและ
องค์ประกอบของดิน วางแผนปรับปรุงดิน จัดการดิน กำหนดชนิดและวิธีการใส่ปุ๋ย การวิเคราะห์คุณสมบัติของดิน
ทางกายภาพ ได้แก่ ส่วนประกอบของดิน ความลึกของดิน ความลาดเท การระบายน้ำ การวิเคราะห์คุณสมบัติของดิน
ทางเคมี ได้แก่ ความเป็นกรด - ด่าง (pH) ความต้องการปูน อินทรีย์วัตถุ ความเค็มของดิน ฟอสฟอรัส โปแตสเชียม
แคลเซียม แมกนีเซียม ส่วนในดินกรดจัดหรือดินพรุวิเคราะห์เพิ่มในธาตุ เหล็ก และทองแดง
3. การปลูกและดูแลรักษา
• เตรียมหลุมปลูก ขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่กว่าถุงต้นกล้าเล็กน้อย รูปตัวยู หรือทรงกระบอก ควรแยก
ดินบน - ล่างออกจากกัน รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยร็อกฟอสเฟต (0-3-0) อัตรา 250 - 500 กรัม/หลุม
• ควรใช้ต้นกล้าที่มีอายุ 8 เดือนขึ้นไป ซึ่งมีลักษณะต้นสมบูรณ์แข็งแรง ไม่แสดงอาการผิดปกติ
และมีใบรูปขนนก จำนวนอย่างน้อย 2 ใบ
• เวลาปลูก ควรปลูกในช่วงฤดูฝน ไม่ควรปลูกช่วงปลายฤดูฝนต่อเนื่องฤดูแล้ง หรือหลังจากปลูกแล้ว
จะต้องมีฝนตกอีกอย่างน้อยประมาณ 3 เดือนจึงจะเข้าฤดูแล้ง ข้อควรระวัง หลังจากปลูกไม่ควรเกิน10 วัน
จะต้องมีฝนตก
• วิธีการปลูก ถอดถุงพลาสติกออกจากต้นกล้าปาล์มน้ำมัน อย่าให้ก้อนดินแตก จะทำให้ต้นกล้าชะงัก
การเจริญเติบโต วางต้นกล้าลงในหลุมปลูก ใส่ดินชั้นบนลงก้นหลุมแล้วจึงใส่ดินชั้นล่างตามลงไป และจัดต้นกล้า
ให้ตั้งตรงแล้วจึงอัดดินให้แน่น เมื่อปลูกเสร็จแล้วโคนต้นกล้าจะต้องอยู่ในระดับเดียวกันกับระดับดินเดิมของแปลงปลูก
• ตอนปลูกควรใช้ตาข่ายหุ้มรอบโคนต้นเพื่อป้องกันหนู หลังจากปลูกเตรียมการป้องกันกำจัดหนูโดยวิธี
ผสมผสาน หากสำรวจแล้วพบว่ามีหนูเข้าทำลาย ควรวางเหยื่อพิษและกรงดัก
• การปลูกซ่อม เมื่อพบต้นปาล์มที่ถูกทำลายโดยศัตรูพืช และต้นที่กระทบกระเทือนจาการขนส่งหรือ
การปฏิบัติอย่างรุนแรง ตลอดจนต้นผิดปกติจะต้องขุดทิ้งและปลูกซ่อม ควรปลูกซ่อมให้เร็วที่สุด ดังนั้นควร
เตรียมต้นกล้าไว้สำหรับปลูกซ่อมประมาณร้อยละ 5 ของต้นกล้าที่ต้องการใช้ปลูกจริง โดยดูแลรักษาไว้ใน
ถุงพลาสติกสีดำ ขนาด 15 x 18 นิ้ว ต้นกล้าจะมีอายุระหว่าง 12 - 18 เดือน ทั้งนี้เพื่อให้ต้นกล้าที่นำไปปลูกซ่อม
มีขนาดใกล้เคียงกับต้นกล้าในแปลงปลูกจริง หรือเตรียมโดยนำไปปลูกระหว่างต้นปาล์มในแถวนอกสุด เพื่อให้
คงระยะปลูกภายในแปลงไว้ และสะดวกในการจัดการสวน การปลูกซ่อมแบ่งออกเป็น 2 ระยะคือ
1. ปลูกซ่อมหลังจากปลูกในแปลงประมาณ 1 - 2 เดือน หรือไม่ควรเกิน 1 ปี อาจเกิดจาก
การกระทบกระเทือนตอนขนย้ายปลูก ได้รับความเสียหายจากศัตรูปาล์มน้ำมัน เช่น หนู เม่น หรือเกิดจากภัยธรรมชาติ
เช่น น้ำท่วม ความแห้งแล้งหลังปลูกอย่างรุนแรง
2. ปลูกซ่อมหลังจากการย้ายปลูก 1 ปีขึ้นไป เป็นการปลูกซ่อมต้นกล้าที่มีลักษณะผิดปกติ
เช่น ต้นมีลักษณะทรงสูง โตเร็วผิดปกติซึ่งเป็นลักษณะของต้นตัวผู้
• หลังปลูก ถ้าพบด้วงกุหลาบเริ่มทำลายใบเป็นรูพรุนให้ฉีดพ่นด้วยเซฟวิน 85 % ในตอนเย็นทั้งใบ
และบริเวณโคนต้น
• กำจัดวัชพืชรอบโคนต้นในช่วงอายุ 1 - 3 ปี ตามระยะเวลา เช่น ก่อนการใส่ปุ๋ย ถ้าใช้สารเคมี
กำจัดวัชพืช ระวังอย่าให้สารเคมีสัมผัสต้นปาล์มน้ำมัน
4. การใส่ปุ๋ย
• ปาล์มน้ำมันอายุ 1 - 3 ปี เป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโตทางลำต้นและใบอย่างรวดเร็ว การใส่ปุ๋ย
ในช่วงนี้เพื่อให้มีการเจริญเติบโตทั้งทางลำต้นและทางใบอย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ต้นปาล์มน้ำมัน
ให้ผลผลิตที่สูง และสม่ำเสมอในระยะต่อ ๆ ไป อย่างไรก็ตามการใส่ปุ๋ยเคมีต้องคำนึงถึงชนิดของดินที่ปลูก
ปาล์มน้ำมัน เนื่องจากในดินแต่ละพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่แตกต่างกัน ในคำแนะนำนี้ได้แบ่งชนิดดินออก
เป็น 5 กลุ่ม เพื่อให้สามารถเลือกใส่ปุ๋ยได้ใกล้เคียงกับชนิดของดินที่ปลูกปาล์มน้ำมัน (ตาราง ที่ 1)
• การใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมันอายุ 4 ปีขึ้นไป หรือที่ให้ผลผลิตแล้ว ควรให้ปุ๋ยตามค่าการวิเคราะห์ดิน
และใบปาล์มน้ำมัน ควบคู่กับการสังเกตลักษณะอาการขาดธาตุอาหารที่มองเห็นได้ที่ต้นปาล์มน้ำมัน เพื่อปรับ
การใส่ปุ๋ยเคมีให้เพิ่มขึ้นหรือน้อยลงตามความเหมาะสม หากไม่สามารถวิเคราะห์ดินและใบได้ควรใส่ปุ๋ยดังใน
ตารางที่ 2 โดยปริมาณปุ๋ยที่ใส่ในปีถัดไป ให้พิจารณาตามปริมาณผลผลิตที่ได้รับในปีนั้น
ตารางที่ 2 ปริมาณปุ๋ยเคมีสำหรับปาล์มน้ำมันอายุปลูก 4 ปีขึ้นไป
• ควรกำจัดวัชพืชก่อนใส่ปุ๋ย และใส่ปุ๋ยในขณะที่ดินมีความชื้นเพียงพอ หลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ยเมื่อฝนแล้งหรือ
ฝนตกหนัก
• ปุ๋ยไนโตรเจน โปแตสเชียม และแม็กนีเชียม ควรหว่านบริเวณรอบโคนต้นให้ระยะห่างจาก
โคนต้นเพิ่มขึ้นตามอายุปาล์ม (0.50 เมตร ถึง 2.50 เมตร) ส่วนฟอสฟอรัสมักถูกตรึงโดยดินได้ง่าย ควรลด
การสัมผัสดินให้มากที่สุด จึงควรใส่ฟอสฟอรัสบนกองทางหรือทะลายเปล่า เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีราก
ของปาล์มหนาแน่น อีกทั้งยังช่วยลดการสูญเสียปุ๋ยจากการชะล้างหรือไหลบ่าของปุ๋ยไปตามผิวดิน
• ควรใส่แมกนีเซียมก่อนโปแตสเซียมอย่างน้อย 2 สัปดาห์
• ใส่ทะลายเปล่าประมาณ 150 - 200 กก./ต้น/ปี วางรอบโคนต้นเพื่อปรับปรุงสภาพดิน
รักษาความชื้นและป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน
• การใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมันนั้นจะมีผลต่อผลผลิตหลังจากที่ใส่ไปแล้วประมาณ 2 ปี ดังนั้นจึง
ไม่ควรลดปริมาณปุ๋ย เนื่องจากตอนนั้นราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันต่ำ เพราะการไม่ใส่ปุ๋ยหรือการลดอัตราปุ๋ย
จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงกับปาล์มที่มีอายุต่ำกว่า 8 ปี
5. การให้น้ำ
• ในสภาพพื้นที่ที่มีช่วงฤดูแล้งยาวนาน หรือสภาพพื้นที่ที่มีค่าการขาดน้ำมากกว่า 300 มม./ปี
หรือมีช่วงแล้งติดต่อกันนานกว่า 4 เดือน ควรมีการให้น้ำเสริม หรือทดแทนน้ำจากน้ำฝนในปริมาณ
150 - 200 ลิตร/ต้น/วัน พื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ มีแหล่งน้ำเพียงพอและมีแหล่งเงินทุน ควรติดตั้งระบบน้ำหยด
(Drip irrigation) หรือแบบมินิสปริงเกอร์ (Minispringkler)
6. การตัดแต่งทางใบ ทำการตัดแต่งทางใบในขณะเก็บเกี่ยวผลผลิต หรือตัดแต่งประจำปี ซึ่งการจัดการ
ทางใบแตกต่างกันตามอายุของปาล์มน้ำมัน ดังนี้
• อายุระหว่าง 1 - 3 ปี หลังปลูก ควรให้ต้นปาล์มน้ำมันมีทางใบมากที่สุด ตัดแต่งทางใบออก
เท่าที่จำเป็น เช่น ทางใบที่แห้ง ทางใบที่มีโรคหรือแมลงทำลายเป็นต้น
• อายุระหว่าง 4 - 7 ปี ต้นปาล์มควรเหลือทางใบ 3 รอบนับจากทะลายที่อยู่ล่างสุด
• อายุระหว่าง 7 - 12 ปี ต้นปาล์มควรเหลือทางใบ 2 รอบนับจากทะลายล่างสุด
• อายุมากกว่า 12 ปี ต้นปาล์มควรเหลือทางใบ 1 รอบนับจากทะลายล่างสุด
7. การเก็บเกี่ยว
• อายุการเก็บเกี่ยว เริ่มให้ผลผลิตครั้งแรกอายุประมาณ 30 เดือน นับจากหลังปลูกลงแปลง
และจะให้้ผลผลิตอย่าง
ต่อเนื่องเก็บเกี่ยวได้ตลอดปี แต่ต้องมีการดูแลรักษาที่เหมาะสมต่ออายุและสภาพพื้นที่ แล้วปาล์มน้ำมัน
จะให้ผลผลิตเฉลี่ยตลอดชีวิต 3,000 กก./ไร่/ปี
• รอบการเก็บเกี่ยว อยู่ในช่วง 10 - 20 วัน แล้วแต่ฤดูกาล โดยเฉลี่ยประมาณ 15 วันต่อครั้ง
• ควรเก็บเกี่ยวเมื่อปาล์มน้ำมันสุกพอดี ชนิดผลดิบสีเขียวให้เก็บเกี่ยวเมื่อผลสุกเป็นสีส้ม
มากกว่า 80 % ของผล หรือมีผลร่วง 1 - 3 ผล ส่วนชนิดผลดิบสีดำเมื่อสุกเปลี่ยนสีผลเป็นสีแดง ให้เก็บเกี่ยว
เมื่อมีผลสุกร่วงจากทะลาย 1 - 3 ผล เมื่อเฉือนเปลือกจะเห็นเนื้อผลเป็นสีส้มเข้ม
• เก็บเกี่ยวทะลายปาล์มน้ำมันแล้ว ควรส่งโรงงานภายใน 24 ชั่วโมง
8. การกองทางใบ
9. การเลือกซื้อพันธุ์ปาล์มน้ำมัน
• ต้องเป็นพันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสมเทเนอราเท่านั้น และมีการรับรองพันธุ์
• เลือกซื้อต้นกล้าที่มีลักษณะสมบูรณ์ แข็งแรง ไม่ผิดปกติ ไม่มีโรคและแมลงทำลาย
• โคนต้นควรมีขนาดใหญ่
• เลือกซื้อจากแปลงเพาะกล้าที่มีป้ายแสดงว่า เป็นแปลงเพาะกล้าปาล์มน้ำมันที่ได้รับการรับรอง
โดยกรมวิชาการเกษตร สามารถตรวจรายชื่อ ”ผู้ขอจดทะเบียนแปลงเพาะกล้าปาล์มน้ำมัน” ได้จาก http:// www.it.doa.go.th
• ดูหลักฐานแหล่งที่มาของพันธุ์ที่น่าเชื่อถือ และที่กรมวิชาการเกษตรรับรอง ซึ่งตรวจสอบได้จากแบบบันทึกการตรวจสอบแปลงเพาะต้นกล้าปาล์มน้ำมัน
สำหรับผู้ประกอบการ
• ขอดูบัตรประจำตัวเจ้าของแปลงเพาะชำปาล์มน้ำมัน รับรองโดยกรมวิชาการเกษตร
• ขอหนังสือสัญญาซื้อขายหรือใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐาน
• แหล่งที่มาของพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่มีจำหน่ายในประเทศไทย ได้แก่
- ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี ปัจจุบัน มี 6 พันธุ์ คือ พันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสมสุราษฏร์ธานี 1, 2, 3,4, 5 และ 6
- ผลิตโดยบริษัทเอกชนของประเทศไทย
- นำเข้าจากต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศ คอสตาริก้า ปาปัวนิวกินี ไอวอรีโคสต์ แซร์ เบนิน ยกเว้น
มาเลเซียและอินโดนีเซีย เนื่องจากมีนโยบายห้ามส่งออกพันธุ์ปาล์มน้ำมันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526
10. การบันทึกข้อมูล
• บันทึกข้อมูลผลผลิต การใส่ปุ๋ย และวัสดุการเกษตร การป้องกันกำจัดศัตรูพืช และรายรับ - รายจ่าย ฯลฯ
เพื่อประกอบการจัดการสวนให้มีประสิทธิภาพ
การจัดการสวนปาล์มน้ำมัน
1. การเลือกพื้นที่
• ควรเลือกพื้นที่ที่ดินมีชั้นหน้าดินลึก ความอุดมสมบูรณ์สูงถึงปานกลาง
• ควรมีลักษณะดินร่วน ดินร่วนปนดินเหนียว ดินเหนียว เนื้อดินไม่ควรเป็นทรายจัด ไม่มีชั้นลูกรัง
หรือชั้นดินดานสูงมากกว่า 0.50 เมตร
• มีการระบายน้ำดีถึงปานกลาง น้ำไม่แช่ขังนาน มีระดับน้ำใต้ดินตื้น ความเป็นกรดเป็นด่างของดินที่ี่เหมาะสม 4 - 6
• ความลาดเอียง 1 - 12 % แต่ไม่ควรเกิน 23 %
• ควรอยู่ในเขตที่มีปริมาณน้ำฝนไม่น้อยกว่า 1,800 มม./ปี แต่ละเดือนควรมีฝนเฉลี่ยประมาณ 120 มม./เดือน
ฝนทิ้งช่วงติดต่อกันนานไม่เกิน 3 เดือน เพราะช่วงแล้งที่ยาวนานทำให้ดอกตัวเมียลดลง ดอกตัวผู้เพิ่มขึ้น
ส่งผลให้ผลผลิตลดลงในเวลา 19 - 22 เดือนหลังจากนั้น
• มีแหล่งน้ำเพียงพอสำรองไว้ใช้ ถ้ามีการขาดน้ำมากกว่า 300 มม.ต่อปีหรือช่วงแล้งติดต่อมากกว่า 4 เดือน
• พื้นที่ที่มีสภาพไม่เหมาะสมสำหรับปลูกปาล์มน้ำมัน เช่น ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ สภาพพรุ
ดินค่อนข้างเค็ม พื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังนาน ฯลฯ ต้องมีการจัดการแก้ไขตามสภาพปัญหาของพื้นที่นั้นๆ
• เป็นพื้นที่ที่มีแสงแดดประมาณ 2,000 ชั่วโมง/ปี หรือไม่ควรต่ำกว่า 5 ชั่วโมงต่อวัน
• อุณหภูมิ 22 - 32 องศาเซลเซียส
• ไม่อับลมและไม่มีลมพัดแรง
2. การเตรียมพื้นที่
|
• โค่นล้ม กำจัดซากต้นไม้และวัชพืชออกจากแปลง ไถพรวนปรับพื้นที่ให้เรียบ ในกรณีที่โค่นล้มปาล์มเก่า
เพื่อปลูกใหม่ทดแทน ควรใช้วิธีสับต้นปาล์มและกองให้ย่อยสลายในแปลง ไม่ควรกองซากต้นปาล์มสูงเกินไป
เพราะจะเป็นที่วางไข่ของด้วงแรด
เพื่อปลูกใหม่ทดแทน ควรใช้วิธีสับต้นปาล์มและกองให้ย่อยสลายในแปลง ไม่ควรกองซากต้นปาล์มสูงเกินไป
เพราะจะเป็นที่วางไข่ของด้วงแรด
• ทำถนนในแปลง เพื่อใช้เป็นเส้นทางขนส่งผลผลิตและปฏิบัติงานการดูแลรักษาสวน และเก็บเกี่ยวปาล์มการวางผัง
ทำถนนขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและขนาดของสวนปาล์มน้ำมัน โดยทั่วไปรูปแบบของถนน มี 3 แบบคือ
- ถนนใหญ่ กว้างประมาณ 6 - 8 เมตร ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อใช้เป็นเส้นทางขนส่งวัสดุ
การเกษตร และผลผลิตไปโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม (สำหรับสวนปาล์มขนาดเล็กกว่า 500 ไร่ ไม่จำเป็นต้องสร้างถนนใหญ่)
การเกษตร และผลผลิตไปโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม (สำหรับสวนปาล์มขนาดเล็กกว่า 500 ไร่ ไม่จำเป็นต้องสร้างถนนใหญ่)
- ถนนย่อยหรือถนนเข้าแปลง เป็นถนนที่สร้างแยกจากถนนใหญ่ มีความกว้างประมาณ 4 - 6 เมตร
ระยะห่างถนนประมาณ 500 เมตร เพื่อใช้สำหรับขนส่งวัสดุการเกษตรเข้าสวนปาล์ม และขนส่งผลผลิต
ระยะห่างถนนประมาณ 500 เมตร เพื่อใช้สำหรับขนส่งวัสดุการเกษตรเข้าสวนปาล์ม และขนส่งผลผลิต
- ถนนซอย เป็นถนนขนาดเล็กแยกจากถนนย่อยเข้าไปในแปลงปลูกปาล์ม ความกว้างขนาด 3 - 4 เมตร
มีระยะห่างประมาณ 50 เมตร สำหรับขนส่งวัสดุการเกษตร และผลผลิตสู่ถนนย่อย
มีระยะห่างประมาณ 50 เมตร สำหรับขนส่งวัสดุการเกษตร และผลผลิตสู่ถนนย่อย
• ทำทางระบายน้ำ การทำระบบระบายน้ำควรทำตามความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และควรออกแบบ
ให้เชื่อมโยงกับระบบการขนส่งเพื่อให้มีการสร้างสะพานน้อยที่สุด ในสวนปาล์มประกอบด้วยทางระบายน้ำ 3 ประเภท คือ
ให้เชื่อมโยงกับระบบการขนส่งเพื่อให้มีการสร้างสะพานน้อยที่สุด ในสวนปาล์มประกอบด้วยทางระบายน้ำ 3 ประเภท คือ
- ทางระบายน้ำระหว่างแถวปาล์ม ควรสร้างขนานกับทางระบายน้ำหลักและตั้งฉากกับทางระบายน้ำ
ระหว่างแปลง ขนาดของทางระบายน้ำระหว่างแถวปากร่องกว้าง 1.20 เมตร ท้องทางระบายน้ำกว้าง 0.30 - 0.50 เมตร และ
ลึก 1 เมตร การทำทางระบายน้ำระหว่างแถวปาล์มขึ้นอยู่กับชนิดของดินในแต่ละแปลง ถ้าเป็นที่ลุ่มน้ำท่วมขัง
ควรขุดระบายน้ำทุก ๆ 2 - 4 แถวปาล์ม ถ้าเป็นที่ราบลุ่มควรมีการระบายน้ำที่ดี ควรทำทางระบายน้ำทุก ๆ 6 แถว
ถ้าที่ดอนใช้ระยะ 100 เมตร
ระหว่างแปลง ขนาดของทางระบายน้ำระหว่างแถวปากร่องกว้าง 1.20 เมตร ท้องทางระบายน้ำกว้าง 0.30 - 0.50 เมตร และ
ลึก 1 เมตร การทำทางระบายน้ำระหว่างแถวปาล์มขึ้นอยู่กับชนิดของดินในแต่ละแปลง ถ้าเป็นที่ลุ่มน้ำท่วมขัง
ควรขุดระบายน้ำทุก ๆ 2 - 4 แถวปาล์ม ถ้าเป็นที่ราบลุ่มควรมีการระบายน้ำที่ดี ควรทำทางระบายน้ำทุก ๆ 6 แถว
ถ้าที่ดอนใช้ระยะ 100 เมตร
- ทางระบายน้ำระหว่างแปลง ควรสร้างขนานกับถนนเข้าแปลง มีระยะห่างกันประมาณ 200 - 400 เมตร
ทางระบายน้ำนี้จะตั้งฉากและเชื่อมโยงกับทางระบายน้ำหลักมีขนาดของคูกว้าง 2.00 – 2.50 เมตร ลึก 1.20 – 1.80 เมตร
ท้องคูกว้าง 0.60 - 1.00 เมตร
ทางระบายน้ำนี้จะตั้งฉากและเชื่อมโยงกับทางระบายน้ำหลักมีขนาดของคูกว้าง 2.00 – 2.50 เมตร ลึก 1.20 – 1.80 เมตร
ท้องคูกว้าง 0.60 - 1.00 เมตร
- ทางระบายน้ำหลัก เป็นทางระบายน้ำขนาดใหญ่สามารถรับน้ำจากทางระบายน้ำระหว่างแปลงได้ แล้ว
ไหลลงสู่ทางน้ำธรรมชาติต่อไป ส่วนมากร่องน้ำขนาดใหญ่นี้จะสร้างขนานกับถนนใหญ่ หรือตามความจำเป็นใน
การระบายน้ำ มีขนาดปากร่อง 3.50 - 5.00 เมตร ท้องร่องกว้าง 1.00 เมตร และลึกประมาณ 2.50 เมตร
โดยปกติด้านข้างของทางระบายน้ำจะมีมุมลาดชันประมาณ 50 - 60 องศา จากแนวขนานของทางระบายน้ำ
ไหลลงสู่ทางน้ำธรรมชาติต่อไป ส่วนมากร่องน้ำขนาดใหญ่นี้จะสร้างขนานกับถนนใหญ่ หรือตามความจำเป็นใน
การระบายน้ำ มีขนาดปากร่อง 3.50 - 5.00 เมตร ท้องร่องกว้าง 1.00 เมตร และลึกประมาณ 2.50 เมตร
โดยปกติด้านข้างของทางระบายน้ำจะมีมุมลาดชันประมาณ 50 - 60 องศา จากแนวขนานของทางระบายน้ำ
• วางแนวปลูก ทำหลังจากสร้างถนนและทางระบายน้ำ ระบบการปลูกใช้สามเหลี่ยมด้านเท่า ให้แถวปลูกหลัก
อยู่ในแนวเหนือ-ใต้ ระยะปลูก 9 เมตร x 9 เมตร x 9 เมตร เพื่อให้ต้นปาล์มทุกต้นได้รับแสงแดดมากที่สุดและสม่ำเสมอ
อยู่ในแนวเหนือ-ใต้ ระยะปลูก 9 เมตร x 9 เมตร x 9 เมตร เพื่อให้ต้นปาล์มทุกต้นได้รับแสงแดดมากที่สุดและสม่ำเสมอ
• ปลูกพืชคลุมดิน ปลูกในช่วงเตรียมพื้นที่เนื่องจากการปลูกปาล์มน้ำมันใช้ระยะปลูก 9 x 9 x 9 เมตร
แบบสามเหลี่ยมด้านเท่า ซึ่งทำให้มีพื้นที่ว่างระหว่างแถวมากในช่วงตั้งแต่เริ่มปลูกจนกระทั่งปาล์มอายุ 3 ปี
ดังนั้นจึงควรปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดินเพื่อช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน รักษาความชุ่มชื้นของดิน เพิ่มความ
อุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินจากการตรึงไนโตรเจนจากอากาศของพืชตระกูลถั่ว อีกทั้งยังควบคุมวัชพืชในแปลงด้วย
เนื่องจากพืชตระกูลถั่วบางชนิดปลูกคลุมดินครั้งเดียวอย่างถูกวิธี สามารถป้องกันกำจัดวัชพืชได้อย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งปาล์มน้ำมันให้ผลผลิต แต่มีข้อควรพิจารณาคือ ควรเป็นพืชที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของเขตนั้น
เช่น ถั่วพร้า ก็จะเป็นพืชตระกูลถั่วที่เหมาะสมกับภาคอีสาน สำหรับภาคใต้พืชคลุมดินตระกูลถั่วที่นิยมปลูกกัน
ทั่วไปในสวนปาล์มน้ำมันและได้ผลดี คือ ถั่วเพอราเรีย (Puraria phaseoloides) ถั่วเซ็นโตซีมา
(Centrosema pubescence) ถั่วคาโลโปโกเนียม (Calopogonium mucunoides) ใช้อัตราเมล็ด
0.8 - 2.0 กิโลกรัมต่อไร่ โดยมีอัตราส่วนของเมล็ดพืชคลุม 3 ชนิดคือ คาโลโปโกเนียม : เพอราเรีย : เซ็นโตซีมา
เท่ากับ 2: 2: 3 (เมล็ดมีความงอก 60 - 80 เปอร์เซ็นต์) เมล็ดถั่วทั้ง 3 ชนิดนี้หาชื้อได้ตามร้านค้าชุมชน
ในพื้นที่ที่มีการปลูกปาล์มน้ำมัน การปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วในภาคใต้ ทำได้โดยใช้เมล็ด การปลูกพืชคลุมโดยใช้
เมล็ดมี 2 วิธี วิธีแรกปลูกพืชคลุมพร้อมปลูกต้นปาล์มน้ำมัน โดยหลังปลูกปาล์มน้ำมันให้ปลูกตามด้วยพืชคลุมทันที
โดยปลูกพืชคลุมหว่านหรือหยอดเมล็ดในระหว่างแถวปาล์มน้ำมัน 5 แถว แต่ละแถวห่าง 1 เมตร ขนานไปกับแถวปาล์ม
ห่างจากโคนต้นปาล์ม 2 เมตร และปลูกเพิ่มในแถวปาล์มอีก 3 ในแนวตั้งฉาก นำเมล็ดพืชคลุมที่เตรียมไว้ลงปลูก
โดยการเปิดร่องลึก 1.2 นิ้ว โรยเมล็ดในร่องให้กระจายอย่างสม่ำเสมอแล้วกลบ การปลูกด้วยเมล็ดอีกวิธีคือ
ปลูกพืชคลุมก่อนปลูกปาล์มน้ำมัน หลังวางแนวปลูกปาล์ม และควรทำในต้นฤดูฝน ให้แนวปลูกพืชคลุมเหมือน
กรรมวิธีแรก เมื่อพืชคลุมคลุมพื้นที่ได้ 50 - 60 เปอร์เซ็นต์ หรือ 2 - 3 เดือนหลังปลูกพืชคลุม จึงเอาต้นปาล์มน้ำมัน
ลงปลูก ก่อนปลูกถากพืชคลุมบริเวณหลุมให้เป็นวงกว้างประมาณ 1 - 2 เมตร
แบบสามเหลี่ยมด้านเท่า ซึ่งทำให้มีพื้นที่ว่างระหว่างแถวมากในช่วงตั้งแต่เริ่มปลูกจนกระทั่งปาล์มอายุ 3 ปี
ดังนั้นจึงควรปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดินเพื่อช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน รักษาความชุ่มชื้นของดิน เพิ่มความ
อุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินจากการตรึงไนโตรเจนจากอากาศของพืชตระกูลถั่ว อีกทั้งยังควบคุมวัชพืชในแปลงด้วย
เนื่องจากพืชตระกูลถั่วบางชนิดปลูกคลุมดินครั้งเดียวอย่างถูกวิธี สามารถป้องกันกำจัดวัชพืชได้อย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งปาล์มน้ำมันให้ผลผลิต แต่มีข้อควรพิจารณาคือ ควรเป็นพืชที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของเขตนั้น
เช่น ถั่วพร้า ก็จะเป็นพืชตระกูลถั่วที่เหมาะสมกับภาคอีสาน สำหรับภาคใต้พืชคลุมดินตระกูลถั่วที่นิยมปลูกกัน
ทั่วไปในสวนปาล์มน้ำมันและได้ผลดี คือ ถั่วเพอราเรีย (Puraria phaseoloides) ถั่วเซ็นโตซีมา
(Centrosema pubescence) ถั่วคาโลโปโกเนียม (Calopogonium mucunoides) ใช้อัตราเมล็ด
0.8 - 2.0 กิโลกรัมต่อไร่ โดยมีอัตราส่วนของเมล็ดพืชคลุม 3 ชนิดคือ คาโลโปโกเนียม : เพอราเรีย : เซ็นโตซีมา
เท่ากับ 2: 2: 3 (เมล็ดมีความงอก 60 - 80 เปอร์เซ็นต์) เมล็ดถั่วทั้ง 3 ชนิดนี้หาชื้อได้ตามร้านค้าชุมชน
ในพื้นที่ที่มีการปลูกปาล์มน้ำมัน การปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วในภาคใต้ ทำได้โดยใช้เมล็ด การปลูกพืชคลุมโดยใช้
เมล็ดมี 2 วิธี วิธีแรกปลูกพืชคลุมพร้อมปลูกต้นปาล์มน้ำมัน โดยหลังปลูกปาล์มน้ำมันให้ปลูกตามด้วยพืชคลุมทันที
โดยปลูกพืชคลุมหว่านหรือหยอดเมล็ดในระหว่างแถวปาล์มน้ำมัน 5 แถว แต่ละแถวห่าง 1 เมตร ขนานไปกับแถวปาล์ม
ห่างจากโคนต้นปาล์ม 2 เมตร และปลูกเพิ่มในแถวปาล์มอีก 3 ในแนวตั้งฉาก นำเมล็ดพืชคลุมที่เตรียมไว้ลงปลูก
โดยการเปิดร่องลึก 1.2 นิ้ว โรยเมล็ดในร่องให้กระจายอย่างสม่ำเสมอแล้วกลบ การปลูกด้วยเมล็ดอีกวิธีคือ
ปลูกพืชคลุมก่อนปลูกปาล์มน้ำมัน หลังวางแนวปลูกปาล์ม และควรทำในต้นฤดูฝน ให้แนวปลูกพืชคลุมเหมือน
กรรมวิธีแรก เมื่อพืชคลุมคลุมพื้นที่ได้ 50 - 60 เปอร์เซ็นต์ หรือ 2 - 3 เดือนหลังปลูกพืชคลุม จึงเอาต้นปาล์มน้ำมัน
ลงปลูก ก่อนปลูกถากพืชคลุมบริเวณหลุมให้เป็นวงกว้างประมาณ 1 - 2 เมตร
ข้อควรระวังในการปลูกพืชคลุมดินคือ
ต้องไม่ให้เถาของพืชคลุมพันต้นปาล์มน้ำมัน และควรมีการป้องกันกำจัดหนูที่จะมากัดโคนต้นปาล์มน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ
การวิเคราะห์ดินก่อนปลูกปาล์ม
เป็นการวิเคราะห์คุณสมบัติของดินทั้งทางเคมีและทางกายภาพ เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปประเมินสภาพและ
องค์ประกอบของดิน วางแผนปรับปรุงดิน จัดการดิน กำหนดชนิดและวิธีการใส่ปุ๋ย การวิเคราะห์คุณสมบัติของดิน
ทางกายภาพ ได้แก่ ส่วนประกอบของดิน ความลึกของดิน ความลาดเท การระบายน้ำ การวิเคราะห์คุณสมบัติของดิน
ทางเคมี ได้แก่ ความเป็นกรด - ด่าง (pH) ความต้องการปูน อินทรีย์วัตถุ ความเค็มของดิน ฟอสฟอรัส โปแตสเชียม
แคลเซียม แมกนีเซียม ส่วนในดินกรดจัดหรือดินพรุวิเคราะห์เพิ่มในธาตุ เหล็ก และทองแดง
3. การปลูกและดูแลรักษา
|
• เตรียมหลุมปลูก ขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่กว่าถุงต้นกล้าเล็กน้อย รูปตัวยู หรือทรงกระบอก ควรแยก
ดินบน - ล่างออกจากกัน รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยร็อกฟอสเฟต (0-3-0) อัตรา 250 - 500 กรัม/หลุม
• ควรใช้ต้นกล้าที่มีอายุ 8 เดือนขึ้นไป ซึ่งมีลักษณะต้นสมบูรณ์แข็งแรง ไม่แสดงอาการผิดปกติ
และมีใบรูปขนนก จำนวนอย่างน้อย 2 ใบ
• เวลาปลูก ควรปลูกในช่วงฤดูฝน ไม่ควรปลูกช่วงปลายฤดูฝนต่อเนื่องฤดูแล้ง หรือหลังจากปลูกแล้ว
จะต้องมีฝนตกอีกอย่างน้อยประมาณ 3 เดือนจึงจะเข้าฤดูแล้ง ข้อควรระวัง หลังจากปลูกไม่ควรเกิน10 วัน
จะต้องมีฝนตก
• วิธีการปลูก ถอดถุงพลาสติกออกจากต้นกล้าปาล์มน้ำมัน อย่าให้ก้อนดินแตก จะทำให้ต้นกล้าชะงัก
การเจริญเติบโต วางต้นกล้าลงในหลุมปลูก ใส่ดินชั้นบนลงก้นหลุมแล้วจึงใส่ดินชั้นล่างตามลงไป และจัดต้นกล้า
ให้ตั้งตรงแล้วจึงอัดดินให้แน่น เมื่อปลูกเสร็จแล้วโคนต้นกล้าจะต้องอยู่ในระดับเดียวกันกับระดับดินเดิมของแปลงปลูก
• ตอนปลูกควรใช้ตาข่ายหุ้มรอบโคนต้นเพื่อป้องกันหนู หลังจากปลูกเตรียมการป้องกันกำจัดหนูโดยวิธี
ผสมผสาน หากสำรวจแล้วพบว่ามีหนูเข้าทำลาย ควรวางเหยื่อพิษและกรงดัก
• การปลูกซ่อม เมื่อพบต้นปาล์มที่ถูกทำลายโดยศัตรูพืช และต้นที่กระทบกระเทือนจาการขนส่งหรือ
การปฏิบัติอย่างรุนแรง ตลอดจนต้นผิดปกติจะต้องขุดทิ้งและปลูกซ่อม ควรปลูกซ่อมให้เร็วที่สุด ดังนั้นควร
เตรียมต้นกล้าไว้สำหรับปลูกซ่อมประมาณร้อยละ 5 ของต้นกล้าที่ต้องการใช้ปลูกจริง โดยดูแลรักษาไว้ใน
ถุงพลาสติกสีดำ ขนาด 15 x 18 นิ้ว ต้นกล้าจะมีอายุระหว่าง 12 - 18 เดือน ทั้งนี้เพื่อให้ต้นกล้าที่นำไปปลูกซ่อม
มีขนาดใกล้เคียงกับต้นกล้าในแปลงปลูกจริง หรือเตรียมโดยนำไปปลูกระหว่างต้นปาล์มในแถวนอกสุด เพื่อให้
คงระยะปลูกภายในแปลงไว้ และสะดวกในการจัดการสวน การปลูกซ่อมแบ่งออกเป็น 2 ระยะคือ
1. ปลูกซ่อมหลังจากปลูกในแปลงประมาณ 1 - 2 เดือน หรือไม่ควรเกิน 1 ปี อาจเกิดจาก
การกระทบกระเทือนตอนขนย้ายปลูก ได้รับความเสียหายจากศัตรูปาล์มน้ำมัน เช่น หนู เม่น หรือเกิดจากภัยธรรมชาติ
เช่น น้ำท่วม ความแห้งแล้งหลังปลูกอย่างรุนแรง
2. ปลูกซ่อมหลังจากการย้ายปลูก 1 ปีขึ้นไป เป็นการปลูกซ่อมต้นกล้าที่มีลักษณะผิดปกติ
เช่น ต้นมีลักษณะทรงสูง โตเร็วผิดปกติซึ่งเป็นลักษณะของต้นตัวผู้
• หลังปลูก ถ้าพบด้วงกุหลาบเริ่มทำลายใบเป็นรูพรุนให้ฉีดพ่นด้วยเซฟวิน 85 % ในตอนเย็นทั้งใบ
และบริเวณโคนต้น
ด้วงกุหลาบ | ลักษณะการทำลาย |
• กำจัดวัชพืชรอบโคนต้นในช่วงอายุ 1 - 3 ปี ตามระยะเวลา เช่น ก่อนการใส่ปุ๋ย ถ้าใช้สารเคมี
กำจัดวัชพืช ระวังอย่าให้สารเคมีสัมผัสต้นปาล์มน้ำมัน
รัศมีรอบโคนต้นปาล์มที่ต้องกำจัดวัชพืช | |
อายุปาล์ม (เดือน) | รัศมีรอบโคนต้น (เมตร) |
0 - 6 | 0.50 – 0.75 |
6 - 12 | 0.75 – 1.00 |
12 - 24 | 0.75 - 1.25 |
24 - 30 | 1.25 – 2.25 |
มากกว่า 30 | 2.25 – 2.75 |
4. การใส่ปุ๋ย
• ปาล์มน้ำมันอายุ 1 - 3 ปี เป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโตทางลำต้นและใบอย่างรวดเร็ว การใส่ปุ๋ย
ในช่วงนี้เพื่อให้มีการเจริญเติบโตทั้งทางลำต้นและทางใบอย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ต้นปาล์มน้ำมัน
ให้ผลผลิตที่สูง และสม่ำเสมอในระยะต่อ ๆ ไป อย่างไรก็ตามการใส่ปุ๋ยเคมีต้องคำนึงถึงชนิดของดินที่ปลูก
ปาล์มน้ำมัน เนื่องจากในดินแต่ละพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่แตกต่างกัน ในคำแนะนำนี้ได้แบ่งชนิดดินออก
เป็น 5 กลุ่ม เพื่อให้สามารถเลือกใส่ปุ๋ยได้ใกล้เคียงกับชนิดของดินที่ปลูกปาล์มน้ำมัน (ตาราง ที่ 1)
ตารางที่ 1 ปริมาณปุ๋ยเคมีสำหรับปาล์มน้ำมันอายุปลูก 1 - 3 ปี
ชนิดดิน | อายุปาล์มน้ำมัน (ปี) | ชนิดและปริมาณปุ๋ยเคมี (กก./ต้น) | ||||
21-0-0 | 18-46-0 | 0-0-60 | กีเซอร์ไรท์ | โบแรท | ||
ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ | 1 | 1.25 | 0.50 | 1.00 | 0.50 | 0.09 |
2 | 2.50 | 0.75 | 2.50 | 1.00 | 0.13 | |
3 | 3.50 | 1.00 | 3.00 | 1.00 | 0.13 | |
ดินเหนียวที่มีความอุดม สมบูรณ์สูง (มีดินเหนียวตั้งแต่ 40 % ขึ้นไป) | 1 | 1.00 | 0.60 | 0.50 | - | 0.09 |
2 | 2.00 | 0.90 | 1.80 | - | 0.13 | |
3 | 2.00 | 1.10 | 2.30 | 0.70 | 0.13 | |
ในดินกรดหรือดินเปรี้ยวจัด (acid sulphate) | 1 | 1.00 | 0.90 | 1.00 | 0.30 | 0.09 |
2 | 2.20 | 0.90 | 2.50 | 0.30 | 0.13 | |
3 | 3.00 | 1.10 | 2.50 | 0.70 | 0.13 | |
ดินทราย | 1 | 2.50 | 0.90 | 1.20 | 1.00 | 0.13 |
2 | 3.00 | 1.10 | 3.50 | 1.40 | 0.13 | |
3 | 5.00 | 1.30 | 4.00 | 1.40 | 0.13 | |
ดินอินทรีย์ (ดินพรุ) และดินที่มีแร่ธาตุต่ำ | 21-0-0 | 18-46-0 | 0-0-60 | บอแรกซ์ | จุนสี | |
1 | 1.00 | 1.00 | 1.50 | 0.09 | 1.20 | |
2 | 2.50 | 1.20 | 2.50 | 0.13 | 0.80 | |
3 | 2.50 | 1.50 | 4.00 | 0.13 | 0.40 |
• การใส่ปุ๋ย ควรแบ่งใส่ปีละ 2 - 3 ครั้ง ตามความเหมาะสม
• การใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมันอายุ 4 ปีขึ้นไป หรือที่ให้ผลผลิตแล้ว ควรให้ปุ๋ยตามค่าการวิเคราะห์ดิน
และใบปาล์มน้ำมัน ควบคู่กับการสังเกตลักษณะอาการขาดธาตุอาหารที่มองเห็นได้ที่ต้นปาล์มน้ำมัน เพื่อปรับ
การใส่ปุ๋ยเคมีให้เพิ่มขึ้นหรือน้อยลงตามความเหมาะสม หากไม่สามารถวิเคราะห์ดินและใบได้ควรใส่ปุ๋ยดังใน
ตารางที่ 2 โดยปริมาณปุ๋ยที่ใส่ในปีถัดไป ให้พิจารณาตามปริมาณผลผลิตที่ได้รับในปีนั้น
ตารางที่ 2 ปริมาณปุ๋ยเคมีสำหรับปาล์มน้ำมันอายุปลูก 4 ปีขึ้นไป
อายุปาล์ม (ปี) | ปุ๋ย (กก./ต้น/ปี) | ||||
แอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) | ร็อคฟอสเฟต (0-3-0) | โพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-60) | กีเซอร์ไรด์ (26 %MgO) | โบเรท (B) | |
4 ปีขึ้นไป | 3.0 - 5.0 | 1.5 - 3.0 | 2.5 - 4.0 | 0.80 - 1.00 | 0.08 - 0.10 |
• ควรกำจัดวัชพืชก่อนใส่ปุ๋ย และใส่ปุ๋ยในขณะที่ดินมีความชื้นเพียงพอ หลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ยเมื่อฝนแล้งหรือ
ฝนตกหนัก
การใส่ปุ๋ย | การใส่ทะลายเปล่า |
• ปุ๋ยไนโตรเจน โปแตสเชียม และแม็กนีเชียม ควรหว่านบริเวณรอบโคนต้นให้ระยะห่างจาก
โคนต้นเพิ่มขึ้นตามอายุปาล์ม (0.50 เมตร ถึง 2.50 เมตร) ส่วนฟอสฟอรัสมักถูกตรึงโดยดินได้ง่าย ควรลด
การสัมผัสดินให้มากที่สุด จึงควรใส่ฟอสฟอรัสบนกองทางหรือทะลายเปล่า เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีราก
ของปาล์มหนาแน่น อีกทั้งยังช่วยลดการสูญเสียปุ๋ยจากการชะล้างหรือไหลบ่าของปุ๋ยไปตามผิวดิน
• ควรใส่แมกนีเซียมก่อนโปแตสเซียมอย่างน้อย 2 สัปดาห์
• ใส่ทะลายเปล่าประมาณ 150 - 200 กก./ต้น/ปี วางรอบโคนต้นเพื่อปรับปรุงสภาพดิน
รักษาความชื้นและป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน
• การใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมันนั้นจะมีผลต่อผลผลิตหลังจากที่ใส่ไปแล้วประมาณ 2 ปี ดังนั้นจึง
ไม่ควรลดปริมาณปุ๋ย เนื่องจากตอนนั้นราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันต่ำ เพราะการไม่ใส่ปุ๋ยหรือการลดอัตราปุ๋ย
จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงกับปาล์มที่มีอายุต่ำกว่า 8 ปี
5. การให้น้ำ
• ในสภาพพื้นที่ที่มีช่วงฤดูแล้งยาวนาน หรือสภาพพื้นที่ที่มีค่าการขาดน้ำมากกว่า 300 มม./ปี
หรือมีช่วงแล้งติดต่อกันนานกว่า 4 เดือน ควรมีการให้น้ำเสริม หรือทดแทนน้ำจากน้ำฝนในปริมาณ
150 - 200 ลิตร/ต้น/วัน พื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ มีแหล่งน้ำเพียงพอและมีแหล่งเงินทุน ควรติดตั้งระบบน้ำหยด
(Drip irrigation) หรือแบบมินิสปริงเกอร์ (Minispringkler)
6. การตัดแต่งทางใบ ทำการตัดแต่งทางใบในขณะเก็บเกี่ยวผลผลิต หรือตัดแต่งประจำปี ซึ่งการจัดการ
ทางใบแตกต่างกันตามอายุของปาล์มน้ำมัน ดังนี้
• อายุระหว่าง 1 - 3 ปี หลังปลูก ควรให้ต้นปาล์มน้ำมันมีทางใบมากที่สุด ตัดแต่งทางใบออก
เท่าที่จำเป็น เช่น ทางใบที่แห้ง ทางใบที่มีโรคหรือแมลงทำลายเป็นต้น
• อายุระหว่าง 4 - 7 ปี ต้นปาล์มควรเหลือทางใบ 3 รอบนับจากทะลายที่อยู่ล่างสุด
• อายุระหว่าง 7 - 12 ปี ต้นปาล์มควรเหลือทางใบ 2 รอบนับจากทะลายล่างสุด
• อายุมากกว่า 12 ปี ต้นปาล์มควรเหลือทางใบ 1 รอบนับจากทะลายล่างสุด
7. การเก็บเกี่ยว
• อายุการเก็บเกี่ยว เริ่มให้ผลผลิตครั้งแรกอายุประมาณ 30 เดือน นับจากหลังปลูกลงแปลง
และจะให้้ผลผลิตอย่าง
ต่อเนื่องเก็บเกี่ยวได้ตลอดปี แต่ต้องมีการดูแลรักษาที่เหมาะสมต่ออายุและสภาพพื้นที่ แล้วปาล์มน้ำมัน
จะให้ผลผลิตเฉลี่ยตลอดชีวิต 3,000 กก./ไร่/ปี
• รอบการเก็บเกี่ยว อยู่ในช่วง 10 - 20 วัน แล้วแต่ฤดูกาล โดยเฉลี่ยประมาณ 15 วันต่อครั้ง
• ควรเก็บเกี่ยวเมื่อปาล์มน้ำมันสุกพอดี ชนิดผลดิบสีเขียวให้เก็บเกี่ยวเมื่อผลสุกเป็นสีส้ม
มากกว่า 80 % ของผล หรือมีผลร่วง 1 - 3 ผล ส่วนชนิดผลดิบสีดำเมื่อสุกเปลี่ยนสีผลเป็นสีแดง ให้เก็บเกี่ยว
เมื่อมีผลสุกร่วงจากทะลาย 1 - 3 ผล เมื่อเฉือนเปลือกจะเห็นเนื้อผลเป็นสีส้มเข้ม
• เก็บเกี่ยวทะลายปาล์มน้ำมันแล้ว ควรส่งโรงงานภายใน 24 ชั่วโมง
8. การกองทางใบ
ทางใบที่ตัดแล้วควรนำมาเรียงกระจายให้รอบโคนต้น หรือเรียงกระจายแบบแถวเว้นแถวไม่กีดขวางทางเดินเก็บเกี่ยวผลผลิตและขนผลผลิตและวางสลับแถวกันทุก ๆ ปี เพื่อกระจายทั่วแปลง ซึ่งทางใบเหล่านี้คิดเทียบเป็นปุ๋ยเคมีประมาณ 40 % | |
ของปริมาณปุ๋ยที่ต้องใช้ตลอดทั้งปี จึงช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมีในสวนปาล์ม น้ำมันลงได้ ส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ ทางใบเหล่านี้ยังเป็นตัวกระจาย อินทรีย์วัตถุในสวนปาล์มน้ำมันได้เป็นอย่างดี (ประมาณ 1.6 ตัน ทางใบสดต่อไร่ต่อปี)โดยไม่ต้อง เพิ่มต้นทุนจากการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยชีวภาพอื่น ๆ อีก |
9. การเลือกซื้อพันธุ์ปาล์มน้ำมัน
ต้นกล้าปกติอายุ 8 - 12 เดือน
• ต้องเป็นพันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสมเทเนอราเท่านั้น และมีการรับรองพันธุ์
• เลือกซื้อต้นกล้าที่มีลักษณะสมบูรณ์ แข็งแรง ไม่ผิดปกติ ไม่มีโรคและแมลงทำลาย
• โคนต้นควรมีขนาดใหญ่
• เลือกซื้อจากแปลงเพาะกล้าที่มีป้ายแสดงว่า เป็นแปลงเพาะกล้าปาล์มน้ำมันที่ได้รับการรับรอง
โดยกรมวิชาการเกษตร สามารถตรวจรายชื่อ ”ผู้ขอจดทะเบียนแปลงเพาะกล้าปาล์มน้ำมัน” ได้จาก http:// www.it.doa.go.th
• ดูหลักฐานแหล่งที่มาของพันธุ์ที่น่าเชื่อถือ และที่กรมวิชาการเกษตรรับรอง ซึ่งตรวจสอบได้จากแบบบันทึกการตรวจสอบแปลงเพาะต้นกล้าปาล์มน้ำมัน
สำหรับผู้ประกอบการ
• ขอดูบัตรประจำตัวเจ้าของแปลงเพาะชำปาล์มน้ำมัน รับรองโดยกรมวิชาการเกษตร
• ขอหนังสือสัญญาซื้อขายหรือใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐาน
• แหล่งที่มาของพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่มีจำหน่ายในประเทศไทย ได้แก่
- ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี ปัจจุบัน มี 6 พันธุ์ คือ พันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสมสุราษฏร์ธานี 1, 2, 3,4, 5 และ 6
- ผลิตโดยบริษัทเอกชนของประเทศไทย
- นำเข้าจากต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศ คอสตาริก้า ปาปัวนิวกินี ไอวอรีโคสต์ แซร์ เบนิน ยกเว้น
มาเลเซียและอินโดนีเซีย เนื่องจากมีนโยบายห้ามส่งออกพันธุ์ปาล์มน้ำมันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526
10. การบันทึกข้อมูล
• บันทึกข้อมูลผลผลิต การใส่ปุ๋ย และวัสดุการเกษตร การป้องกันกำจัดศัตรูพืช และรายรับ - รายจ่าย ฯลฯ
เพื่อประกอบการจัดการสวนให้มีประสิทธิภาพ
ที่มา : ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี.